Post#2-197:
เมื่อครู่นี้เองครับ ผมได้มีโอกาสได้คุยกันสัพเพเหระกับผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง ถึงเรื่องนั่น นู่น นี่ ตั้งแต่เรื่องทิศทางและแนวโน้มทางธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ไปยันประเด็นเรื่องการบริหารข้อมูลเชิงธุรกิจ
เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
โลกแคบลงจากความไวของข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมโยงกันได้อย่างกว้างขวางและง่ายต่อการเข้าถึง นั่นหมายถึง เราอาจรู้ข้อมูลได้ใน 3 นาที ทั้งที่เมื่อก่อนอาจต้องใช้เวลานับปีในการค้นหาและรวบรวม
ที่น่าเสียดายก็คือ ยิ่งข้อมูลได้มาง่าย เรายิ่งละเลยกับการใส่ใจ...
สมัยก่อนที่เราจะมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่พร้อมมูลแบบนี้ คนรุ่นก่อนที่ทำมาค้าขาย สามารถจดจำสินค้าที่ขายได้ทุกตัว รู้ว่าขายลูกค้าคนไหนมากน้อย รู้ว่าพนักงานคนไหนทำงานยังไง แบบไหน
ข้อมูลมหาศาลที่ว่า ใช้ระบบ "จำ" เท่านั้น แต่เป็นการจำด้วยใจไม่ใช่แค่ท่องแล้วเก็บไว้ในสมอง
ความน่าทึ่งของการจดจำรายละเอียดเหล่านี้ได้ ยังคงมีให้เห็นได้ในร้านของชำหรือร้านค้าในต่างจังหวัด โดยไม่นำพาถึงการต้องมาวางระบบ ERP หรือระบบประมวลผลล้ำเลิศใดๆ
เปล่าครับ...ผมไม่ได้จะมาชวนให้ใครมาเป็นพวก Anti-technology ผมแค่กำลังจะมาบอกว่า ทั้งที่การทำงานในปัจจุบันมีตัวช่วยในเรื่องข้อมูลตั้งมากมาย แต่ประสิทธิภาพในการทำงานกลับไม่ดีเท่าระบบเดิมๆ ของคนรุ่นก่อนเลย
เรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าเทคโนโลยีห่วย แต่เป็นเพราะคนที่จะใช้เทคโนโลยีนั้น ไม่ใส่ "ใจ" ในการทำงานต่างหาก
เราอ่านข้อมูลที่มีมากมายอย่างผ่านๆ ในขณะที่คนรุ่นเก่าๆ จดจำข้อมูลทุกอย่างด้วยความใส่ใจ
เราใช้ข้อมูลในฐานะ "ข้ออ้าง" เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ในขณะที่คนรุ่นก่อนใช้ข้อมูลที่มีในฐานะ "ข้อเตือนใจ" ยามที่ต้องติดต่อกับลูกค้าหรือคู่ค้า
ความพร้อมมูลของข้อมูลที่มีในมือ เปรียบไปแล้วก็คือปืนที่ทรงอานุภาพ...เทียบกับปืนครกในสมัยก่อนแล้ว ต่างกันแบบเทียบไม่ได้
สำคัญที่ว่า เถ้าแก่เค้ามีปืนครกไว้ยิง แต่พวกเราหลายคนมีปืนไว้ถือเท่ๆ ...
ดังนั้น ถ้าดวลกันจริงๆ ใครจะโดนยิงคงไม่ต้องเดานะครับ -"-
Comments
Post a Comment