Post#2-181:
เคยได้ยินที่เค้าว่ากันว่า "เอ็นดูเขา...เอ็นเราขาด" มั๊ยครับ?
เรื่องของเรื่องก็มักเกิดจากความสงสารหรือไม่ก็ความเกรงใจ
สงสารกลัวว่าลูกน้องจะเหนื่อย เราก็เลยต้องทำเอง, สงสารกลัวว่าเพื่อนจะกลับบ้านลำบาก เราก็เลยต้องขับรถไปส่ง ทั้งที่บ้านอยู่อีกทาง, ฯลฯ
เกรงใจนายที่ออกปากขอให้ช่วยงานวันหยุด เลยต้องยกเลิกนัดกับแม่, เกรงใจเพื่อน เลยไม่กล้าทวงเงินที่จ่ายไปก่อนตอนดินเนอร์มื้อหรูเมื่อคืนวาน, ฯลฯ
เรื่องแบบนี้ เราเจอได้ทุกวันไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ทำงาน ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะผ่าน moment แบบนี้กันมาแล้ว
เปล่าครับ ผมไม่ได้มาชวนให้เรากลายเป็นคนใจจืดใจดำ ไร้ซึ่งความสงสาร หรือไร้ซึ่งความเกรงใจ...
ผมเพียงแต่อยากให้เรามาทบทวนตัวเองกันบ้างเล็กน้อย...เราสงสารคนอื่นมากกว่าสงสารตัวเองรึเปล่า? เราเกรงใจคนอื่นมากกว่าเกรงใจตัวเองใช่มั๊ย?
หากความสงสารหรือความเกรงใจนั้น ไม่ได้ทำให้เราลำบากจนเกินควร ก็ทำไปเถอะครับ แต่ถ้าใช่ เราก็ควรจะพูดคุยกับอีกฝ่ายให้จงควร
บางทีอาจจะเจอความลงตัวที่เค้าก็ยินดีโดยที่เราก็ไม่ต้องลำบากจนเกินไปก็ได้...
เช่น ยอมขับอ้อมนิดๆ ไปส่งเพื่อนที่ BTS หรือ MRT แทนที่จะไปส่งถึงบ้าน หรือบอกนายไปตรงๆ ว่าวันหยุดนี้นัดแม่ไว้ แต่ช่วงสัปดาห์นี้ ยินดีจะกลับดึกหน่อยเพื่อช่วยงานนายให้เสร็จ
ส่วนถ้าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาเชิงลบกับสิ่งที่เราพูดหรือทำ...ก็ต้องทำใจล่ะครับ ถ้าเค้าเป็นเพื่อนที่ดีหรือเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่แย่ เค้าก็ควรจะเข้าใจข้อจำกัดของเราบ้าง
ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย...ผลัดกันสงสาร ผลัดกันเกรงใจ น่าจะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นอีกนิด...
จริงมั๊ยครับ?
Comments
Post a Comment