Skip to main content

Post#2-196: Buffet

Post#2-196:
หนึ่งในมื้ออาหารที่เรารู้สึกว่า "คุ้มค่า" กับการจ่ายเงินที่สุด ต้องมี "Buffet" อยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ผมเองก็เหมือนคนส่วนใหญ่ที่รู้สึกว่า การไปหม่ำ Buffet นั้น มีข้อดีตรงที่ความหลากหลายและปริมาณของอาหารที่มีให้เราเลือกดูและเลือกชิมได้อย่างจุใจ

และแน่นอนว่า เรามักวัดความคุ้มค่าหรือคุ้มราคาของมื้อนั้น จากปริมาณอาหารที่เราหม่ำเทียบกับค่าอาหารต่อหัว

แต่ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนมีวิธีการหม่ำ Buffet ที่ต่างกัน และให้นิยามความคุ้มค่าที่ต่างกันแบบสุดขั้ว...

บางคนเน้นอาหารแบบเดียว เรียกว่ามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เดินตักอาหารได้ไม่เกิน 2 เที่ยว กระเพาะอาหารก็เต็มเอี้ยด ไม่มีที่เหลือพอสำหรับอาหารจานอื่นอีกเลย

แต่บางคนก็จะเน้นความหลากหลาย หม่ำทุกอย่าง อย่างละนิดละหน่อย รวมๆ กันเข้าก็อิ่มได้เหมือนกัน

ตรงนี้แหละครับ ที่เป็นตัวเทียบเคียงได้คร่าวๆ ว่าเราเป็นผู้มีรสนิยมในการใช้ชีวิตแบบไหน...

หม่ำอาหารประเภทเดียว เน้นปริมาณอาหาร ก็เป็นประเภท Rifle คือเน้นๆ ชัดเจน ได้ภาพลึก

แต่ถ้าหม่ำอาหารแบบหลากหลาย เน้นจำนวนประเภทอาหาร ก็เป็นประเภท Short Gun คือ ลองทุกอย่าง เน้นไปทางภาพกว้าง

...

น้องๆ ก็เช่นกัน...เมื่อตอนจะเริ่มต้นอาชีพ ก็ไม่ต่างจากการลองทุกจานใน Line Buffet ไม่ลองก็ไม่รู้ว่าจานไหนอร่อย ถามเพื่อนหรือจะสู้ชิมเอง ว่าแล้วเราก็ชิมด้วยวิธี Short Gun ได้ 

งานอะไรที่คิดว่าเหมาะ ก็ลองผิดลองถูกไปก่อนได้บางครั้งเราอาจพบว่า เราเจองานที่ชอบและมันไม่ได้ตรงกับที่เรียนมาเลย เหมือนเราเจออาหารจานหนึ่งซึ่งเราดูเฉยๆ ก็ไม่รู้ว่ามันอร่อย ต่อเมื่อเราชิมแล้ว กลายเป็นอาหารสุดโปรดไปซะงั้น

แน่นอนว่า ถ้าเราไม่ทานเนื้อวัว แม้มันจะมีให้ลองก็ไม่ต้องไปแตะมัน ก็เหมือนอาชีพบางอาชีพที่ไม่ใช่ทางของเราแน่ๆ แบบนี้ก็ไม่ต้องไปลองให้เสียเวลา

ต่อเมื่อค้นพบแล้วว่าจานไหนเด็ด คราวนี้ก็สามารถตักให้ล้นจานได้ หม่ำให้พอใจเลย ก็เหมือนการค้นพบแล้วว่า ตัวเองเหมาะกับงานอะไร และเมื่อรู้แล้ว คราวนี้ก็ลุยกับงานนี้ให้สุดๆ เอาดีกับมันให้ได้

ถ้าเป็นแค่การหม่ำ Buffet จะใช้วิธีไหนก็ตามแต่ใจเลยครับ เลือกเอาเลยว่า เน้นอิ่มกับอาหารแบบเดียวให้สุดฟิน หรืออิ่มกับอาหารหลากหลายให้ได้ลองแบบหลากรส

...แต่ถ้าเป็นการวางเข็มชีวิต เริ่มด้วย Short Gun แล้วเจาะด้วย Rifle น่าจะดีที่สุดครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...