Skip to main content

Post#2-184: ทำบุญบริษัทฯ

Post#2-184:
วันนี้ ผมมีโอกาสได้สร้างบุญร่วมกับเพื่อนร่วมงานและน้องๆ เกือบครึ่งร้อยชีวิต เนื่องในโอกาสทำบุญ office ใหม่

ช่วงที่กำลังจะเริ่มพิธี มีเหตุขลุกขลักนิดหน่อยตรงที่คุณลุงผู้ซึ่งเป็นไวยาวัจกรนั้น ทำหน้าที่ขับรถด้วย เลยขึ้นมาช้า แรกเริ่มเดิมทีที่คิดจะอาศัยให้คุณลุงช่วยอาราธนาศีลก็เลยพลอยสะดุด

หลวงพ่อท่านเอ่ยถามว่า มีใครพอจะกล่าวคำอาราธนาศีลได้บ้าง และปรากฏว่า คนเกือบครึ่งร้อยได้แต่มองหน้ากันไปๆ มาๆ หามีใครอาสาหลวงพ่อได้ไม่

กว่าจะผ่านช่วงอารธนาศีลไปจนถึงคำอาราธนาพระปริตรได้ ก็เลยทำให้หลวงพ่อท่านลุ้นแทนคุณโยมและคุณสีกาไม่น้อย -"-

ตรงนี้ ก็เป็นกรณีสอนใจได้อย่างดี เพราะยิ่งคิดผมก็ยิ่งเศร้าใจตรงที่ผู้คนส่วนหนึ่ง (ซึ่งน่าจะเป็นส่วนใหญ่) เป็นชาวพุทธโดยการสืบทอดตามบุพการี หาใช่เป็นชาวพุทธโดยการปฏิบัติไม่ รวมทั้งตัวผมเองที่ชอบธรรมปริยัติโดยไม่เคร่งธรรมปฏิบัติเท่าที่ควร

เมื่อถึงคราวจำเป็นขึ้นมา ชาวพุทธโดยการสืบทอดเช่นตัวผม จึงมิอาจทำหน้าที่พื้นฐานของอุบาสกและอุบาสิกาที่ดีได้ เป็นได้แค่คุณโยมและคุณสีกาที่นั่งพนมมือเป็นฝักถั่ว ท่องมนต์ตามผู้นำ และเสียงดังเฉพาะตอนกล่าวคำว่า "สาธุ"

...

หลังจากถวายภัตตาหารเพลแล้ว เราได้นิมนต์ให้หลวงพ่อกรุณาเทศน์ให้ฟังเพื่อให้ทุกๆ คนได้เจริญสติและคิดตามข้อธรรมจากท่าน

ท่านสอนให้เรามีอิทธิบาท 4 ในการทำงาน ไม่ใช่แค่ทำงานส่งเดชให้จบไปวันๆ และท่านได้เตือนสติให้เรารู้จัก "การให้" 

การให้ที่ท่านเตือนสติไว้นั้น ไม่ใช่แค่การให้สิ่งของ แต่จะต้องรู้จักการให้ "อภัย" ไม่แบกความโกรธอันเป็นการทำร้ายตัวเองไว้ในอก และอานิสงส์แห่งการให้อภัยนั้น มีค่านับประมาณมิได้

ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผมก็คือ ท่านเตือนสติให้เรารู้จักการปฏิบัติตามวิถีพุทธให้ถึงพร้อมทั้ง ทาน ศีล และภาวนา เพื่อให้กาย วาจา ใจ วางอยู่บนฐานที่ดีที่ชอบ และมีธรรมะเป็นอาภรณ์ประดับใจ

...

ตอนหนึ่งแห่งคำสอนของหลวงพ่อ ท่านว่า การที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น แปลว่าเรามีบุญมากแล้ว และชาตินี้ก็ต้องหมั่นสะสมบุญไว้บ้าง อย่าสร้างแต่บาปกรรม เพราะบาปบุญเป็นสิ่งเดียวที่จะติดตัวเราไปได้ และจะส่งผลต่อชาติใหม่

ฟังแล้ว ก็กระตุกให้ลิ้นชักความทรงจำของผมเปิดออก พร้อมๆ กับกลอนบทหนึ่งที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี (บางที่มา ว่าเป็นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต - ถ้าไม่ใช่ผมต้องขออภัยครับ) ได้ทิ้งไว้ให้แก่ชาวพุทธทั้งหลายไว้ใช้ละความโลภและกิเลส ก็ดังก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว

ยังจำได้มั๊ยครับ...

ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
มีเพียงแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน
แม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ ฯ

เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า
ใยมัวเมา โลภลาภ ทำบาปใหญ่
มามือเปล่า แล้วจะ เอาอะไร
เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามาฯ

ควรเร่งสร้าง กรรมดี หนีกรรมชั่ว
ไม่พาตัว พาใจ ใฝ่ตัณหา
หมั่นเจริญศีล สมาธิ และปัญญา
จึงจะพา ให้พ้นทุกข์ สุขนิรันดร์ฯ

...

ทิ้งท้ายให้เราจงมีสติกำกับจิต  หมั่นเติมบุญอย่าได้ขาดครับ

สาธุ สาธุ สาธุครับ _/|\_

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...