Skip to main content

Posts

Showing posts from January, 2016

Post#3-146: ญาณหยั่งรู้

Post#3-146: เมื่อคืนวานผมมีโอกาสได้ไปนั่งประชุมอยู่กับนักธุรกิจใหญ่ท่านหนึ่ง พร้อมๆ กับภรรยาของท่าน และนักบริหารมืออาชีพอีก 2 ท่าน หลังจากสรุปโครงสร้างและแผนเบื้องต้นได้เป็นที่พอใจแล้ว ท่านก็กรุณาชวนผมและท่านอื่นๆ ไปทานข้าวกัน ซึ่งคราวนี้หัวข้อในการสนทนาไปเน้นอยู่ในเรื่อง "ญาณหยั่งรู้" ของนักธุรกิจระดับโลก O_o" สารภาพว่า ตอนท่านเล่าให้ฟัง ผมได้แต่นั่งอ้าปากหวอด้วยความทึ่ง ค่าที่ไม่เคยนึกมาก่อนเลย ว่าเรื่อง "ญาณหยั่งรู้" นั้น มีอยู่จริง และที่สำคัญฝึกฝนได้จริง แน่นอนว่า "ญาณหยั่งรู้" ที่ท่านว่า เป็นคนละเรื่องกับพวกหมอดูที่ออกมาทำนายทายทักกันทั่วบ้านทั่วเมือง ... อันว่า "ญาณหยั่งรู้" (หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "Intuition") นั้น เป็นผลมาจากการเจริญสมาธิอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เมื่อเรามีฐานสมาธิที่มั่นคง ก็จะทำให้เราสามารถที่จะคิดอะไรได้อย่างทะลุและถ่องแท้ สามารถคัดกรองสิ่งที่ทำให้จิตไขว้เขวและสับสนไปได้ ทั้งนี้ ฐานแห่งการเตรียมตัวให้เราสามารถไปถึง "ญาณหยั่งรู้" ยังต้องอาศัยการรักษาศีลเป็นอาจิณด้วย ท่าน...

Post#3-145: มั่นใจหรืออหังการ์...เก่งกล้าหรือบ้าบิ่น?

Post#3-145: หนึ่งในความสนุกของการเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ ก็คือการที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ธุรกิจใหม่ๆ และเรื่องใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมชอบและหลงใหลในงานที่ปรึกษาทางธุรกิจเป็นที่สุด... โดยเฉพาะในวินาทีที่ผมคิดหาทางออกให้กับเจ้าของธุรกิจได้...มันเป็นเหมือนชั่วขณะที่เสมือนจะมีดอกไม้ไฟนับร้อยนับพันเปล่งประกายอยู่ตรงหน้า ... จะว่าไป งานของผมนั้นก็คล้ายกับงานของหมอ...ต่างกันตรงที่หมอรักษาไข้คน แต่งานของผมรักษาไข้ธุรกิจ แม้งานของผมจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าหมอ...แต่ผมก็ภูมิใจและยินดีทุกครั้ง ที่ลูกค้าได้นำแนวทางที่ผมเสนอ ไปใช้แล้วได้ผล ... แต่รู้อะไรมั๊ยครับ...ว่าแม้ผมจะเป็นที่ปรึกษาธุรกิจให้กับหลากหลายองค์กร แต่บ่อยครั้งไม่น้อยที่ผมก็ต้องนำปัญหาของบริษัทตัวเองไปหารือกับคนอื่นๆ เช่นกัน คงคล้ายๆ กับหมอผ่าตัดที่แม้จะเก่งกล้าสักปานใด...แต่ก็ทำใจได้ยาก หากต้องเป็นคนผ่าตัดลูกหรือญาติสนิทของตัวเอง การที่คุณเป็นหมอ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่ป่วย เช่นกันกับว่า แม้คุณจะเชี่ยวชาญในธุรกิจสักปานใด ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะทำงานสำเร็จได้ทุกครั้งไป ... บ่อยครั้ง เราจึ...

Post#3-144: เป็นนายที่เก่ง vs เป็นนายที่ดี

Post#3-144: เมื่อวานพูดเรื่องการเลือกระหว่างลูกน้องที่เก่งและลูกน้องที่ดีไปแล้ว อย่ากระนั้นเลย วันนี้เรามาลองคุยกันบ้างว่า ถ้าต้องเลือกทำงานกับนายที่ดีกับนายที่เก่งบ้างล่ะ เราจะเลือกแบบไหน? มีภาพนายที่เราอยากทำงานด้วยในใจรึยังครับ...ถ้ายัง ผมให้เวลาเท่าเมื่อวานเลย คือ 5 นาที ... ถ้าภาพของนายที่คุณอยากทำงานด้วย หมายถึง นายที่ต้องเข้าใจคุณทุกสิ่ง เอื้อเฟื้อต่อคุณทุกอย่าง ไม่ต่อว่าเมื่อคุณทำผิด และเข้าข้างคุณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แล้วล่ะก็...ผมต้องขอแสดงความเสียใจ ที่จะบอกว่า คุณไม่ได้กำลังเป็น "ลูกน้อง" แต่กำลังเป็น "ลูกแหง่" ใช่นายแบบนี้จริงๆ หรือ ที่คุณต้องการ? ถ้าใช่ นายของคุณ จะต่างอะไรกับ "พ่อแม่รังแกฉัน"? ... หากนายคุณเอาแต่ "โอ๋" คุณ อยู่แบบนี้ เห็นทีคุณคงยากที่จะได้เรียนรู้งานจากนาย ซ้ำร้ายคุณอาจหมดหนทางจะก้าวหน้าในอาชีพ ทำไมน่ะหรือครับ? ก็เพราะถ้านายคุณมัวแต่เล่นบทตามหลังคุณอยู่แบบนี้ เค้าจะเป็นผู้นำของคุณได้ยังไง? แล้วถ้านายคุณเป็นผู้นำที่แย่ ก็แปลว่า เค้าเองก็ไม่มีโอกาสได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง เมื่อเค้าไม่ได้ขยับตำ...

Post#3-143: คนดีที่เก่ง vs คนเก่งที่ดี

Post#3-143: ถ้าให้เลือกระหว่างลูกน้องเก่งกับลูกน้องดี เราจะเลือกลูกน้องแบบไหนครับ? ผมให้เวลาคิดตาม 5 นาที พอมั๊ยครับ ^^ ... สารภาพว่า ผมเองก็เลือกยากอยู่เหมือนกัน เพราะในความเป็นจริง ความเก่งและความดี ต่างก็เป็นส่วนผสมอยู่ในตัวคนทุกคนนั่นเอง (เคยแชร์ไว้ใน Post#2-314) ถ้าเลือกได้ ผมมักจะเลือกลูกน้องที่มีส่วนผสมของความดีอยู่ที่ 60%-70% และความเก่งประมาณ 30%-40% เพราะถ้าเค้าใฝ่ดี เราจะหัดให้เค้าเก่งได้ แต่แม้เค้าจะเก่งมาก (แต่เป็นคนไม่ค่อยจะดี) ก็ยากนักที่เราจะเปลี่ยนใจให้เค้าใฝ่ดีได้ ... โดยตามธรรมชาติ คนเก่งมักจะมีความหยิ่ง จองหอง ทระนง ปนเปกันอยู่ในตัว...ไม่ว่าจะเป็นนายหรือลูกน้อง หากแต่การเป็นคนเก่งแบบที่ว่า อาจหลงตัวเอง และเหยียดคนอื่น จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที คุณอาจเป็นคนเก่งที่ไม่มีใครอยากคบ...กลายเป็นพวกเดียวดาย ถ้าวันนี้ คุณมีลูกน้องดีแต่เก่งน้อยหน่อย...ขอจงให้โอกาสเค้า ถ่ายทอดสิ่งที่คุณมีให้กับเค้า เพื่อวันหนึ่งข้างหน้า เค้าจะกลายเป็นกำลังสำคัญของคุณ เป็น "คนดีที่เก่ง" ที่คุณต้องภูมิใจ ถ้าวันนี้ คุณมีลูกน้องที่เก่งแต่เกเรไปบ้าง...ขอจงให้โอกาสเค้าเช่นก...

Post#3-142: ทำธุรกิจในกลุ่มประเทศ AEC

Post#3-142: ดูเหมือนว่า การเดินทางไปประเทศเมียนมาร์แบบไปเช้าเย็นกลับ จะกลายเป็นเรื่องปกติของผมไปแล้ว อย่างช่วยไม่ได้ ความจริงผมถือเป็นเรื่องสนุกที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ Consumer Behavior และ Marketing Environment ในประเทศต่างๆ ในแถบ AEC นี้ ผมคิดว่ามีทั้งความคล้ายคลึงและความแตกต่างกันอยู่ในที ขึ้นอยู่กับว่าเป็นสินค้าในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมใดมากกว่า ... เท่าที่ผมสัมผัสมา ทั้งประเทศกัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ และเวียดนาม (รวมที่เรารู้จักกันในนาม CLMV) นั้น ยังมีโอกาสสำหรับการเติบโตอีกมาก ในมุมมองของผม ถ้าจะพูดว่า CLMV ยังตามหลังประเทศไทยในเรื่องสินค้าและการตลาด ก็คงจะพอพูดได้ หรือพูดให้ถูก ก็ต้องบอกว่าความเข้มข้นในการแข่งขันและการเชือดเฉือนกันในทางธุรกิจในประเทศไทยน่ะ มากกว่า CLMV เยอะ เพราะความเจริญใน CLMV ยังกระจุกตัวอยู่ในแถบเมืองหลวงและเมืองใหญ่เพียงไม่กี่เมือง นอกนั้นยังถือเป็นสังคมชนบท ที่ซึ่งการตลาดไม่อาจทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ ลองเปรียบเทียบกับเมืองเล็กๆ ในชนบทของไทยก็ได้ครับ บรรยากาศของการแข่งขันใน CLMV ก็จะประมาณนั้นเหมือนกัน ... ดังนั้น กรอบความคิดทางการตลา...

Post#3-141: เด็กขี้ลอก + เด็กขี้ขอ

Post#3-141: วันนี้ขออนุญาตชวนนั่ง Time Machine ย้อนเวลาไปตอนสมัยเราเป็นเด็กประถมกันหน่อยนะครับ ยังพอจำได้มั๊ยครับ ว่าเราเกือบจะทุกคนน่าจะมีเพื่อนประเภท ไม่เคยทำการบ้าน อาศัยมาตีหน้าเศร้า ขอลอกการบ้านได้ทุกเช้า และเพื่อนอีกแบบก็จะประมาณนั่งน้ำลายหก ดูเพื่อนทานขนม จนเพื่อนใจอ่อนต้องแบ่งให้ ผมเองก็มีเพื่อนทั้ง 2 แบบนี้เลยครับ และก็ยังไม่เคยลืมว่า ตอนที่ผมตัดสินใจไม่ยอมให้ลอกการบ้านและไม่แบ่งขนมให้น่ะ เพื่อนทั้ง 2 แบบนี้ แสดงกิริยาเช่นใด ... มาถึงวันนี้ ที่ผมและทุกๆ ท่านต่างก็เติบโตทำงานทำการกันหมดแล้ว และแน่นอนว่าเพื่อนทั้ง 2 แบบนี้ ก็เติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับเรา แม้จะไม่มีการบ้านให้ลอกและไม่มีขนมให้ไถ...แต่พวกเค้าก็ยังหาวิธีเอาเปรียบเราได้อยู่ดี นึกออกมั๊ยครับ ว่าเค้าทำแบบไหน? ผมให้เวลา 3 นาทีครับ ... ถ้านึกไม่ออกว่า พวกเค้าเอาเปรียบเราแบบไหน...ผมขออนุญาตแชร์มุมมองผมก็แล้วกันครับ ผมคิดว่า คนที่ทำเรื่องเดิมผิดแบบซ้ำๆ ซากๆ โดยไม่คิดจะแก้ไขนั้น ก็ไม่ต่างจากเด็กขี้ลอกและเด็กขี้ขอเลย ผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตพวกนี้ ก็มักจะมาขอร้องอ้อนวอนให้เราช่วย พอเราใจอ่อนยอมช่วยแก้ปัญหาให้ ก็...

Post#3-140: โอนงานได้...แต่โอนความรับผิดชอบไม่ได้

Post#3-140: ผมเชื่อว่า เกือบจะทุกคนคงเคยฝากงานให้เพื่อนช่วยจัดการกันบ้าง...อาจจะเพราะทำงานไม่ทัน, ไม่สบาย, ลากิจ, ลาพักร้อน หรือจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม ...แต่ผมขอกระซิบเตือนว่า เราฝากงานได้...แต่เราไม่อาจโอนความรับผิดชอบได้นะครับ เมื่อโอนงานของตัวเองไปให้คนอื่นทำแล้ว หลายๆ คนก็มักจะสรุปเองว่า ความรับผิดชอบในผลลัพธ์ของงาน จะต้องโอนตามไปด้วย ในความเป็นจริงแล้ว คุณเองต่างหากที่ยังต้องรับผิดชอบงานนั้น จนกว่าจะส่งมอบงานได้ตรงตามความต้องการของนาย, เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า ว่าแล้วผมลองยกกรณีสมมติให้ฟังสักเรื่องก็แล้วกันนะครับ ... คุณแม่ให้เงิน Mr.X ไปซื้อกับข้าวที่ตลาด กำชับว่า ให้จัดการให้เรียบร้อยนะ จะเอามาทำกับข้าวมื้อเย็น แล้วท่านก็รีบออกจากบ้านไปทำธุระอย่างอื่น Mr.X รับปากท่านเรียบร้อย แต่แล้วก็ไปจ่ายกับข้าวไม่ได้ เพราะลืมไปว่า นัดเพื่อนมาทำรายงานที่บ้านไว้พอดี ไวเท่าความคิด Mr.X ก็เลยใช้น้องไปซื้อแทน ว่าแล้วก็ทำรายงานกับเพื่อนจนเย็นย่ำ จนเพื่อนลากลับไป คล้อยหลังเพื่อนไปไม่นาน คุณแม่ท่านกลับมา แล้วก็ถามหากับข้าวที่สั่งเอาไว้...ทันทีนั้น Mr.X จึงค่อยนึกได้ว่า "เออ ใช่ ...

Post#3-139: คมความคิดแห่ง Warren Buffett

Post#3-139: หนึ่งใน Guru แห่งธุรกิจที่ทั่วโลกต่างก็ให้การยอมรับ ย่อมต้องมีชื่อของ Warren Buffett อยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใช้ชีวิต, แนวความคิด รวมไปถึงวาทะของลุง Warren ล้วนแล้วแต่ควรนำไปเป็นแบบอย่างโดยแท้ (ด้วยความนับถือ ผมเลยขออนุญาตเรียก "คุณลุง" นะครับ) ผมไปเจอวาทะของลุง Warren โดยบังเอิญ และต้องสารภาพว่า อ่านบางข้อแล้ว รู้สึกเหมือนกำลังโดนลุง Warren มาต่อว่าอยู่ตรงหน้าเลยก็ไม่ปาน ลองอ่านแล้วคิดตามคุณลุง Warren กันดูนะครับ ... Excellent Quotes by Warren Buffett: (วาทะสะท้านใจของ Warren Buffet:) On Earning: Never depend on single income. Make investment to create a second source. (ในเรื่องรายได้: จงอย่าให้ชีวิตขึ้นอยู่กับรายได้จากแหล่งเดียว จงลงทุนเพื่อสร้างแหล่งรายได้ที่สอง) On Spending: If you buy things you do not need, soon you will have to sell things you need. (ในเรื่องการใช้จ่าย: ถ้าคุณซื้อแต่ของที่คุณไม่ได้ต้องการจริงๆ, ในที่สุดแล้ว คุณก็จำต้องขายของที่คุณจำเป็นจริงๆ ไป) On Savings: Do not save what is left after spending, but s...

Post#3-138: โกรธได้แต่อย่าขาดสติ

Post#3-138: ทุกคนย่อมเคยทำเรื่องผิดพลาด...แต่ไม่ใช่ว่าคนที่ทำผิดพลาดทุกคนจะสำนึกผิด เพราะแม้ที่จริงแล้ว บ่อยครั้งคนที่ทำผิดนั่น ไม่ได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ว่าได้ทำผิดไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อคนหนึ่งโกรธ เพราะอีกคนหนึ่งไม่สำนึก หรือเมื่อคนหนึ่งโกรธ แต่อีกคนกลับไม่รู้...นั่นจึงเป็นเหตุทำให้เรื่องวุ่นวายร้อยแปดเกิดขึ้นตามมา ... ถ้าอีกฝ่ายทำให้เราไม่พอใจ...หากเป็นเรื่องเล็ก ก็อย่าถือสาหาความ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องแล้วก็แล้วกัน แต่หากเรื่องมันหนักหนาขึ้น ก่อนจะโกรธอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็น่าจะคุยกันสักนิดนึงก่อน ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้ตัวว่าทำให้เราโกรธ เค้าก็น่าจะขอโทษ แต่ถ้าเค้าทำเพราะจงใจแถมยังไม่สำนึกผิด...เราก็ต้องประเมินต่อว่า จะโต้ตอบการละเมิดนี้ ด้วยวิธีการใด ... บางคนโต้กลับด้วยความรุนแรง บางคนโต้กลับด้วยการวางเฉย บางคนโต้กลับด้วยการพยาบาท และบางคนอาจให้อภัยอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะโต้กลับด้วยวิธีการไหน...ก็ขอให้เราพิจารณาให้ดีก่อนนะครับ เพราะ... ชนะสั้นย่อมไม่สู้ชนะยาว สะใจชั่วครู่อาจทำให้เจ็บใจอีกยาว สาดน้ำเข้าหากัน...ยากนักที่เราจะไม่เปียก สาดน้ำลายเข้าหากัน...อย่าบอกว...

Post#3-137: หางานใหม่ vs หาเงินใหม่

Post#3-137: ค่ำวานนี้ มีอดีตลูกน้องท่านหนึ่งปรึกษาเรื่องงานที่ทำอยู่ ซึ่งเธอไม่ค่อยจะ happy สักเท่าไหร่... ติดตรงที่เธอเกรงว่า จะออกจากงานก็จะเคว้งคว้างไร้จุดหมาย สุดท้ายก็เลยต้องจำทนอยู่ไปก่อน ตอนหนึ่งของการสนทนา ผมถามเธอว่า "ถ้าต้องมีเงินน้อยลง แต่มีคุณค่าในตัวเองมากขึ้น ครอบครัวจะประคองไหวมั๊ย?" เธอคิดอยู่อึดใจ แล้วบอกผมว่า "ก็น่าจะไหว" พักเรื่องเธอไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ ... หากงานที่คุณกำลังทำอยู่ไม่สร้างคุณค่าและความหมายให้กับชีวิต ผมก็ไม่คิดว่า คุณกำลังอยู่บนทางที่ควรจะเป็น ผมไม่ได้บอกว่า งานที่ทำเงินมากๆ ไม่สำคัญ แต่งานที่ทำเงินน้อยลงบ้าง แต่ทำให้เรามีคุณค่าขึ้นนั้น น่าจะเป็นงานที่เราควรเลือกมากกว่า น่าเสียใจ ที่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ มักจะ "หาเงินใหม่" มากกว่า "หางานใหม่" แปลว่า งานอะไรที่แปลงเป็นเงินได้ แม้จะไม่ชอบและแม้จะต้องทนฝืนทำ ถ้าได้เงินมากๆ ก็เอาไว้ก่อน แบบนี้ จะทำให้เรากลายเป็นพวก "วิ่งตามเงิน" ไปเรื่อยๆ...และสุดท้ายเราก็จะกลายเป็นพวกชอบนับหนึ่งใหม่อยู่เสมอ ... บางท่านอาจจะสงสัยว่า "นับหนึ่งใหม่...

Post#3-136: ไปต่อหรือพอแค่นี้?

Post#3-136: ต่อเนื่องจากเมื่อวาน, มีน้องท่านนึงถามมาว่า "อยากได้ข้อคิดเพิ่มเติมค่ะ 1. ถ้าเราไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาเรือที่เราจะลงหละคะ เราควรลงไปเพื่อไปลอง หรือเราควรอยู่บนท่าน้ำเพื่อความปลอดภัย 2. ถ้าเราตัดสินใจลงเรือไปแล้ว เห็นแล้วว่าข้างหน้าจะจม เราเตือนแล้ว เราช่วยเท่าที่เราช่วยได้แล้ว เราจะทำยังไงดีคะ เราควรสละเรือ หรือว่าเราควรพายต่อไปและพยายามเตือนผู้ร่วมทางให้หมุนหัวเรือ" ตอบยากจัง...เอาเป็นว่า ผมยกตัวอย่างแบบนี้ดีกว่าครับ ^^ ... สมมติว่า คุณกำลังจะนั่งรถทัวร์ไปต่างจังหวัด... ระหว่างนั่งรอรถอยู่นั้น ก็บังเอิญไปเห็นว่า คนขับมีท่าทางเมา และสภาพรถก็น่าเชื่อว่าอาจจะไปเสียกลางทางแน่ๆ...ถามว่า เห็นตำตาขนาดนี้แล้ว คุณจะขึ้นรถคันนี้มั๊ย? แต่ถ้าคนขับก็มีท่าทีปกติ, สภาพรถก็ดูไม่แย่ แต่จู่ๆ คุณก็มโนขึ้นมาเองว่า "ตายล่ะ...ฉันมีลางสังหรณ์ว่า ถ้าขึ้นรถคันนี้ สงสัยจะเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ" ถามว่า คุณจะขึ้นรถคันนี้มั๊ย? ได้คำตอบสำหรับคำถามข้อ 1 มั๊ยครับ? ... เอาใหม่ สมมติว่าคุณรู้สึกตัวแล้ว ว่านั่นเป็นการมโนไปเอง เลยตัดสินใจขึ้นรถคันนั้นไป ระหว่างทางคุณเห็นค...

Post#3-135: รอดูเรือล่ม

Post#3-135: เช้านี้ผมมีเหตุให้ต้องประชุมเคร่งเครียดกับ Partner คนหนึ่ง เพราะมีประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกันหลายเรื่อง แม้ว่าโดยส่วนตัว ผมอาจจะมีประเด็นไม่ค่อยลงรอยกับเค้าอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่า คนเราต้องรู้จักแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่จะมาเล่าเรื่อง "ยกหาง" ต้วเอง แต่ผมคิดว่า หลายๆ คนคงเคยพลาดเอาเรื่องส่วนตัวมาพันกับเรื่องงาน ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกันมาบ้าง...ผมเองก็เคยพลาด แต่การรอสมน้ำหน้าคนอื่นน่ะ...สุดท้ายแล้ว มันเป็นเรื่องดีกับตัวเราจริงๆ รึเปล่านะ? ... สมมติว่า เรามีอันต้องขึ้นเรือไปกับคนที่เราไม่ชอบขี้หน้า แล้วบังเอิญให้เรือรั่ว...ถ้าไม่ทำอะไรเลย คงมีหวังไม่รอดทั้งคู่ ถามว่าคุณจะยังมัวแต่รังเกียจรังงอน หรือเลือกที่จะร่วมมือกับคนที่คุณไม่ชอบหน้า? หรือหากคุณเห็นคนที่คุณไม่ชอบหน้ากำลังจะทำงานผิดพลาด...คุณเลือกที่จะปล่อยให้เค้าทำผิด เพื่อรอสมน้ำหน้า หรือเลือกที่จะช่วยเค้า? จริงอยู่ว่า แต่ละคนมีหน้าที่ที่ต่างต้องรับผิดชอบ...และไม่ผิด หากเราจะดูดายไม่ช่วย หากแต่ คุณมั่นใจได้ยังไงว่า การปล่อยให้คนที่อยู่บนเรือลำเดียวกับคุณตายไปต่อ...

Post#3-134: ตรวจสอบตรรกะก่อนลงมือ

Post#3-134: บ่ายแก่ๆ วันนี้ ผมนัดเจอกับเพื่อนรุ่นพี่ท่านหนึ่ง เพื่อขอคำปรึกษาและขอแนะนำเกี่ยวกับธุรกิจใหม่ ด้วยเกรงว่าอาจจะมีบางแง่บางมุมที่ผมอาจจะมองข้ามไป ประสบการณ์สอนผมว่า บ่อยครั้งที่การคิดเองเออเอง มักจะลงท้ายด้วยความผิดพลาด...ดังนั้น ผมจึงมองหามุมแย้งอื่นๆ จากคนที่ผมเชื่อถือ และคนๆ นั้น ก็ควรจะเป็นผู้ไม่ได้อยู่ในธุรกิจประเภทเดียวกับที่เรานำเรื่องไปปรึกษาด้วย ทั้งนี้เพราะผมต้องการความเห็นในเชิงตรรกะ ...เป็นการเช็คง่ายๆ ว่า วิธีคิดของเรามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ... ผมพบว่า บางคำถามที่ถามจากคนที่ไม่รู้เรื่องเชิงลึกในธุรกิจนั้นๆ อาจกลับมาเป็นประโยชน์กับเราได้อย่างมาก...เพราะคนถามนั้น ถามตามมุมมองที่มุ่งตรรกะมากกว่าอย่างอื่น แปลว่า ถ้าตรรกะหรือวิธีคิดของเราวางรากฐานอยู่บนเหตุและผลที่ดีพอ เชื่อเถอะครับว่า ไม่ว่าจะไปถามใครก็ตาม (ที่ทำธุรกิจเป็นนะครับ ไม่ใช่ไปถามพนักงานระดับปฏิบัติการ หรือไปถามเด็กจบใหม่) เราจะต้องสามารถตอบคำถามได้หมดหรือเกือบหมด เช่นตอบได้ว่า ทำแบบนี้เพราะอะไร, ที่มาของตัวเลขนี้มาจากไหน, ใครเป็นคู่แข่ง, ฯลฯ แต่ไม่ใช่ว่า ตอบได้แบบมั่วๆ หรือเอาสีข้าง...

Post#3-133: ประเมินตน vs คนประเมิน

Post#3-133: ช่วงหัวค่ำ ผมมีเวลาว่างอยู่พักใหญ่ๆ ระหว่างนั่งรอนัดเจอกับอดีตลูกน้อง...ผมก็เลยใช้เวลาไปกับการนั่งดู Clip เมื่อครั้งผมไปเป็นอาจารย์พิเศษให้กับองค์กรแห่งหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน จำได้ว่า หลังจบการบรรยาย ระหว่างเดินทางกลับ ผมประเมินตัวเองไว้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่...นึกตำหนิตัวเองอยู่นิดๆ ว่า จะไปทำให้คนเชิญและสถาบันฯ ที่เชิญ เสียชื่อหรือเปล่าหนอ? หลังจากนั้น แม้ผลจะปรากฏว่า ผู้เข้าร่วมหลักสูตรได้ให้คะแนนประเมินผมในระดับสูง...แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า ถ้ามีโอกาสได้ไปบรรยายในหลักสูตรนี้อีกครั้ง ผมจะทำได้ดีกว่านั้นแน่ๆ ... อย่างที่เคยคุยไว้หลายครั้งครับ ว่าการประเมินผลงานนั้น มีความสำคัญไม่แพ้การตั้งเป้าหมาย...และการประเมินตนเองควบคู่ไปกับการรับฟังผลการประเมินจากผู้อื่นนั้น ก็จะทำให้ผลของการประเมินมีมิติที่ชัดเจนมากขึ้น ส่วนใหญ่แล้ว...คนเรามักประเมินตัวเองเกินจริง ซึ่งมีทั้ง "ดีเกินจริง" และ "แย่เกินจริง" นั่นเป็นเพราะเราเทียบผลงานของเรากับความคาดหวังของตัวเราเอง ต่อเมื่อเราทราบว่า ผลการประเมินที่คนอื่นมองเรา เป็นยังไง ก็จะทำให้เราประเมินผลงานได้ชัดเจนมากขึ้...

Post#3-132: การสอบ vs การแสดง

Post#3-132: บ่ายนี้ ลูกสาวผมได้รับโอกาสให้แสดงเป็น Alice ใน Ballet Show ของโรงเรียน Little School of Ballet ที่เธอเรียนอยู่ ช่วง 2 เดือนมานี้ ลูกสาวผมจึงเพิ่มความตั้งใจในการไปเรียน Ballet มากเป็นพิเศษ...และแน่นอนว่าที่ตื่นเต้นไม่แพ้กันก็คือผมและภรรยานั่นเอง หลังจากว่างเว้นจากการแสดงครั้งแรกไปนานพอดู...นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ผมจะได้เห็นพัฒนาการของลูกในสิ่งที่เธอรักและมีความสุขที่ได้ทำ ... อย่างที่ผมพูดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน...เมื่อใดที่เป้าหมายปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า เมื่อนั้นเราจะรู้ได้โดยอัติโนมัติ ว่าเราควรต้องทำอะไรบ้าง ลูกสาวผมที่ปกติจะออกแนว chill แต่เมื่อเธอรู้ว่าต้องขึ้นแสดง เธอก็เพิ่มความเอาจริงเอาจังขึ้นได้เองโดยไม่ต้องบอก สำหรับเด็กๆ แล้ว ดูเหมือนว่าการแสดงบนเวทีนั้น จะกลายเป็นแรงผลักสำคัญให้ก้าวหน้าได้ดีกว่าการสอบเสียด้วยซ้ำ ... การแสดงมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่ การ entertain คนดู ในขณะที่การสอบมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่ การสอบให้ผ่าน ฉะนั้นแรงผลักให้ไปสู่เป้าหมายนั้น จึงมีพลังต่างกัน... อย่างแรกได้รางวัลเป็นเสียงปรบมือ แต่อย่างหลังได้เป็น Certificate...แม้จะทำให้ภู...

Post#3-131: ปาเจราจริยาโหนติฯ

Post#3-131: มีอดีตลูกน้องท่านหนึ่ง ส่งข้อความมาหาในช่วงเช้าวันนี้...ข้อความนั้นมีว่า "ถึงแม้พี่ไม่ได้เป็นครูจริงๆ ของผม แต่ผมนับถือพี่เป็นครูของผมตลอดเวลาครับ กราบขอบพระคุณ คุณครูครับ" สารภาพว่า พออ่านข้อความนี้แล้ว...ผมอึ้งไปชั่วครู่ ด้วยความรู้สึกหลายหลากที่เข้ามาพร้อมๆ กัน ... หนึ่ง...คือ ความรู้สึกปลื้มใจ ไม่ได้ปลื้มใจที่มีใครมายกย่องให้เป็นครูนะครับ แต่ปลื้มใจที่อดีตลูกน้องท่านนี้ มีจิตใจที่ดีงาม ซึ่งจะเป็นคุณลักษณะที่เกื้อหนุนให้เค้าได้ดีต่อไปในภายภาคหน้า สอง...คือ ความรู้สึกขอบคุณ เพราะข้อความนี้ ทำให้ผมคิดต่อไปว่า ความจริงแล้ว เราอาจมีโอกาสเป็น "ครู" ให้กับใครหลายๆ คนได้จริงๆ ด้วย เพราะ "ครู" แปลว่า "ผู้สั่งสอน" สาม...คือ ความรู้สึกอยากแบ่งปันความรู้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะผมรู้สึกว่า อาชีพครู เป็นอาชีพที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ปั้นดินให้เป็นดาว และครูเป็นผู้มีบุญคุณเป็นอันดับต้นๆ รองจากพ่อแม่ ... แม้ว่า "ครู" จะเป็นเพียงอาชีพหนึ่งในสังคม และแม้ว่าบางคนจะเลือกทำอาชีพนี้ เพื่อแลกเงิน แต่ผมเชื่อว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว คนที่เลือกปร...

Post#3-130: We fight to hold on and we fight to let go...

Post#3-130: จะว่าไปแล้ว คนเราล้วนแต่ต้องต่อสู้กับกิเลสต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนดับ... แม้จะรู้ว่าสุดท้าย เรามิอาจจะเอาอะไรติดตัวไปได้ยามชีพวาย...แต่เราก็มิอาจจะปล่อยวางลาภ ยศ สรรเสริญ ไปได้โดยง่าย ยิ่งเราอยู่ในสังคมเมืองมากเท่าไหร่ ไอ้เจ้าตัวกิเลสก็ดูเหมือนจะสำแดงศักดาได้แข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ... ในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ ผมสังเกตว่าชาวตะวันตกเริ่มหันมาสนใจปรัชญาตะวันออก ที่เน้นในเรื่องของจิตวิญญาณมากขึ้นและมากขึ้น ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในแถบเอเชียของเรา กลับละทิ้งปรัชญาแห่งจิตวิญญาณ หันไปเน้นวัตถุนิยม (Materialism) อย่างไม่ลืมหูลืมตา ลองนึกดูให้ดีเถิดครับ...ปรัชญาตะวันออก ซึ่งเป็นแก่นแท้ที่ทำให้ "อัตตา" เบาบาง...กำลังถูกสั่นคลอนอย่างหนักหนา ใช่หรือไม่? ... หันไปดูทางฝั่งตะวันตก ที่เริ่มตระหนักรู้แล้วว่า แท้จริงแล้ว "อัตตา" ก็ไม่ต่างจากโซ่ตรวนที่ยึดตรึงตัวเราไม่ให้หลุดพ้น ลองพิจารณาคำสอนนี้ดูครับ... "One of the hardest lessons in life is letting go, whether it's guilt, anger, love, loss or betrayal. Change is never easy. We fight t...

Post#3-129: ลืมและไม่ลืม

Post#3-129: หลายต่อหลายครั้ง ที่เราอาจจะเจ็บปวดจากผู้คนหรือเหตุการณ์ต่างๆ บ้างก็เกิดจากเราเป็นฝ่ายผิด บ้างก็อาจเกิดจากคนอื่นเป็นฝ่ายทำให้เราเจ็บช้ำ และบ้างก็เป็นเหตุไม่คาดฝันที่อาจสร้างรอยแผลให้กับทุกคน แต่ยิ่งเราไปมัวจมจ่อมอยู่กับความเจ็บปวดเหล่านั้น ก็ยิ่งจะทำให้ตัวเราแย่ลงไปเรื่อยๆ...เสมือนเราสะกดจิตตัวเองให้เราจำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือเสมือนเราเก็บขยะไว้ในห้อง ... ดังเช่นที่ใครก็ไม่รู้ กล่าวไว้ว่า... "Forget what has hurt you in the past, but never forget what it has taught you." แปลว่า "จงลืมสิ่งใดก็ตามที่ทำร้ายคุณในอดีต, แต่จงอย่าลืมว่าสิ่งนั่นสอนอะไรกับคุณ" ยากไปมั๊ยครับ...ทั้งต้องลืมและต้องไม่ลืม ... การจะวิเคราะห์เหตุการณ์เพื่อเรียนรู้ให้ได้นั้น เราจำเป็นต้องแยก "เรื่องราว" ออกจาก "ความรู้สึก" (Post#157) แม้ผมเองจะไม่อาจเถียงได้ ว่ามันออกจะยากเอาการอยู่ ที่จะลืมความรู้สึกเจ็บปวดได้ง่ายๆ ดังนั้น อาจต้องใช้คำว่า "พยายามอย่านึกถึงมัน" น่าจะดีกว่า เพราะถ้าไม่แยกความรู้สึกออกจากเหตุการณ์ที่เรากำลังจะวิเค...

Post#3-128: มิลงมือฤาจะได้มา มิขวนขวายฤาจะได้ชื่นชม

Post#3-128: แน่นอนว่า ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนอยากประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง หากแต่คนผู้นั้น อาจมิได้ลงมือใดๆ เพื่อให้ตนบรรลุถึงสิ่งนั้น อยากจะให้ท้องอิ่ม แต่ไม่ลงมือตักข้าวใส่ปาก ฉันใด ย่อมเปรียบได้กับการอยากประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงโดยมิต้องลงมือทำสิ่งใดให้เป็นที่ประจักษ์ ฉันนั้น และนี่เองจึงเป็นคำตอบว่า เหตุใดคนที่ประสบความสำเร็จจึงมีน้อยกว่าน้อย ... ไม่มีผู้ชนะคนใดจะชนะได้โดยไร้บาดแผล...พวกเค้าล้วนต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการมาแล้วมากมาย คนที่จะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ จึงล้วนแล้วแต่ต้องเคยล้มแล้วลุกอย่างมิรู้เหน็ด ปาดเหงื่อและกรีดน้ำตาอย่างมิรู้เหนื่อย ชื่อเสียงจึงเป็นรางวัลสำหรับผู้ชนะที่คู่ควรอย่างแท้จริง...หรือมิใช่? ... ฝรั่งว่าไว้ว่า "A ship in a harbor is safe, but that's not what ships are build for." แปลว่า "เรือที่จอดเฉยๆ อยู่ที่ท่า ย่อมปลอดภัย, หากแต่นั่นหาใช่เหตุผลที่เราสร้างเรือนั้นขึ้นไม่" เรือจะสง่างาม ยามเมื่อมันแล่นฝ่าเกลียวคลื่นบนผืนนที และรอดพ้นผ่านกระแสมรสุมอันบ้าคลั่ง...เฉกเช่นชีวิตมนุษย์ จำนวนรอยแผลบนร่างกายและรอยช...

Post#3-127: กลางคืนนั้น มิได้ยาวนานตลอด 24 ชั่วโมง...

Post#3-127: บ่อยครั้งที่เราเฝ้าถามหาความยุติธรรมให้กับชีวิต...แม้ว่าลึกๆ แล้ว เราทุกคนคงรู้ดีอยู่แก่ใจว่า "ความยุติธรรม" อาจไม่มีอยู่จริงในโลก สำหรับผม "ความยุติธรรม" เป็นเรื่องของมุมมอง, มองจากมุมเราอาจเห็นว่ายุติธรรม แต่อีกฝ่ายอาจเห็นว่าไม่ใช่ ทำนองเดียวกันฝ่ายตรงข้ามเห็นว่า ยุติธรรมดีแล้ว แต่มองจากมุมเราอาจจะเห็นว่า มันเป็นการเอาเปรียบอย่างที่สุดก็เป็นได้ ดังนั้น เวลาถกเถียงกันเรื่องความยุติธรรม จึงเป็นเรื่องเดียวกับ "การเจรจาต่อรอง" นั่นเอง ... ถึงตรงนี้ ผมอยากจะบอกว่า แม้จะไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้ในการเจรจาต่อรอง แต่ในชีวิตจริง ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับ "วิธีคิด" ผมไม่ได้บอกให้เราหลอกตัวเอง แบบโลกสวย เท่าๆ กับที่ไม่ได้บอกว่า เราควรมองโลกในแง่ร้าย หากแต่ วันนี้เจรจาชนะ ต้องเตรียมใจเผื่อวันหน้าที่อาจพ่ายแพ้ และวันนี้ได้เปรียบ ใช่ว่าทุกวันเราจะได้เปรียบ เราอาจสูญเสียบางอย่างไปในวันนี้ เพื่อแลกกับบางอย่างที่อาจมีค่าหรือมีคุณค่ามากกว่าในอนาคตก็เป็นได้ ... ถ้ายังจำได้ ผมเคยเล่าถึงพี่ T ที่สอนผมว่า แม้คนเราจะใส่ใจมากเหลือเกินกับชัย...

Post#3-126: Feng Shui Master

Post#3-126: ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เมื่อเช้าผมมีโอกาสนั่งคุยกับ Feng Shui Master ชาวตะวันตก...ก็ที่เราเรียกขานกันว่า "หมอดูฮวงจุ้ย" นี่แหละครับ แต่ที่แปลกเพราะ หมอดูท่านนี้เป็นฝรั่ง...ที่สำคัญหมอดูท่านนี้ เรียนจบด้วย First-class Honor จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาการบิน ตั้งแต่อายุ 19 ปี!!! อะไรทำให้คนตะวันตกที่น่าจะอยู่ด้าน Scientific สุดๆ กลับขั้วมาศึกษาศาสตร์ตะวันออกที่ดูเหมือนจะลี้ลับแบบฮวงจุ้ยไปได้? ... Mr.A (ชื่อสมมตินะครับ) เล่าให้ผมฟังถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้เค้าเปลี่ยนอาชีพจากวิศวกรการบินมาเป็นหมอดูฮวงจุ้ย ว่าเรื่องทั้งเรื่อง เกิดจากการที่มีหมอดู (ชาวตะวันตก) ท่านหนึ่งมาทำนายทายทักว่า ภรรยาของเค้าจะมีอายุไม่ยืน ด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับเกียรตินิยม แน่นอนว่า Mr.A ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด และเดินทางไปพบหมอดูท่านนี้ เพื่อต้องการพิสูจน์ว่า เรื่องที่หมอดูเล่า เป็นเรื่องไม่จริง แทนที่จะได้ไป "ฉะ" หมอดู อย่างที่ตั้งใจ กลับกลายเป็นว่า Mr.A ต้อง surprise จากเรื่องที่หมอดูบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเค้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ นับแต่นั้น Mr.A ก็เริ่มศึกษ...

Post#3-125: เป้าหมายของเด็กมหา' ลัย

Post#3-125: ระหว่างรอพระสวดเมื่อค่ำวาน ผมคุยกับน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน...เธอพึ่งได้เป็นนิสิตจุฬาฯ ป้ายแดงเมื่อเร็วๆ นี้ ผมถามเธอว่า เลือกเรียนคณะนี้เพราะอะไร แล้วจบไปจะทำอะไร? เธอยิ้มเจื่อนๆ แล้วตอบผมว่า "ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ" ... ผมอยากจะบอกว่า คำตอบแบบนี้ กำลังจะกลายเป็นปัญหาของชาติแน่ๆ ในอนาคต ไม่เฉพาะญาติผู้น้องของผมเท่านั้น ที่ประสบปัญหาขาดเป้าหมายของชีวิต...เมื่อครั้งไปบรรยายให้นักศึกษาปี 4 ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งฟัง ก็มีปัญหาคล้ายๆ กัน (Post#2-15 และ Post#2-16) นั่นขนาดจะเรียนจบแล้ว ยังไม่รู้ทางไป...นับประสาอะไรกับเด็กปี 1? ... ฉะนั้น ผมจึงกระตุ้นให้ญาติผู้น้องของผมได้คิดต่อ ว่าการรู้ตัวตั้งแต่เนิ่นๆ นั้น จะทำให้เราตั้งเป้าหมายชีวิตได้อย่างเหมาะสม ถ้าไม่รู้ว่าที่เรียนอยู่นี้ จบไปจะทำอาชีพอะไร ก็เหมือนกับว่า ไม่รู้ว่าขับรถออกจากบ้าน แล้วจะไปไหน? ถ้าอนาคตของชาติหลายๆ คนไม่มีเป้าหมายในชีวิต คิดดูว่า ประเทศไทยจะเป็นยังไงต่อไปในอนาคตข้างหน้า? แม้มันจะยากไปบ้าง สำหรับเด็กปี 1 แต่ญาติผู้น้องของผมก็เริ่มได้คิดบ้างแล้ว...และมันไม่สำคัญว่า เราจ...

Post#3-124: งานแสดงน้ำใจ

Post#3-124: หลังจากไปประชุมในตอนเช้าและพาลูกไปเรียนบัลเล่ต์ในช่วงสาย...ช่วงเย็น ผมและครอบครัวก็มาปฏิบัติหน้าที่ลูกหลานในงานสวดศพญาติผู้ใหญ่ เนื่องจากท่านไม่ได้จากไปอย่างกระทันหัน พวกเราจึงทำใจไว้ล่วงหน้ากันมาพอสมควร...และบรรยากาศในงานจึงไม่ได้เศร้าสร้อยมากมายนัก งานศพเป็นงานอวมงคลที่ค่อนข้างสำคัญ เรียกว่าเป็นงานร่ำลาท่านผู้วายชนม์ ในขณะที่ก็ถือเป็นงานแสดงถึงน้ำใจให้กับลูกหลาน งานศพจัดได้เฉพาะตอนค่ำคืน และงานศพมักเลือกสถานที่ไม่ได้มากนัก ต้องดูว่าศาลาว่างมั๊ยด้วย ดังนั้น อาจจะได้วัดที่ห่างไกลจากความสะดวกของใครหลายๆ คน แปลว่า คนที่มาต้องตั้งใจมาจริงๆ ... แน่นอนว่า Highlight สำคัญของงานศพนั้น อยู่ที่การฟังสวด...หลายวัดมีการแปลบทสวดให้ญาติโยมทั้งหลายฟังด้วย เมื่อได้ฟังคำแปล...เราจึงเข้าใจ เมื่อเข้าใจ...เราจึงศรัทธา เมื่อศรัทธา...เราจึงเลื่อมใส สุดท้ายเราจึงจะรู้ว่า...ท้ายสุดแล้ว แม้ร่างกายของเราเอง ก็ยังเอาไปไม่ได้ สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าจะยากดีมีจน จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาจากไหน...ก็ไม่เกินกว่า "โลง" ไปได้ #สอนใจตัวเองให้ปลง

Post#3-123: พรุ่งนี้...อาจมาไม่ถึง

Post#3-123: เช้าวันนี้ ขณะที่ผมนั่งประชุมอยู่อย่างหน้าดำคร่ำเครียด ผมก็โดนแม่ตามตัวด่วนให้รีบไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ซึ่งป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล ผมฝืนใจเร่งประชุมให้จบ แล้วก็รีบทิ้งทุกอย่างเพื่อไปโรงพยาบาล...แม้จะทำใจไว้บ้างแล้ว แต่สารภาพว่า ตอนแม่แจ้งข่าว ใจผมหายวูบ ไปถึงโรงพยาบาลทันคุณหมอมาเยี่ยมไข้พอดี...ผมก็ฟังคุณหมอวินิจฉัยอาการ แล้วก็พอจะใจชื้นขึ้นบ้าง คิดว่าท่านจะยังอยู่ได้อีกพักใหญ่ๆ แต่ผมอยู่ได้พักนึง ก็ต้องรีบไป เพราะมีงานรออยู่ค่อนข้างมาก ... ตกเย็น หลังประชุมเสร็จ...ก็มีสายเรียกเข้าจากแม่ผมอีกครั้ง ผมภาวนาให้เป็นข่าวดี แต่... "รีบมานะลูก...คงไม่พ้นคืนนี้แล้ว" หลังจากอึ้งไปชั่วครู่...ผมก็รีบไปโรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อไปให้ทันดูใจท่าน ... แม้ความตายจะเป็นเรื่องธรรมดาโลก...แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนในครอบครัว มันก็เป็นเรื่องยากเสมอที่จะทำใจยอมรับ เมื่อเห็นความตายที่อยู่ตรงหน้า...มรณานุสติก็มาเยี่ยมเยือนเตือนให้ผมระลึกว่า สุดท้ายแล้ว มนุษย์เราก็เท่านี้เอง ชีวิตเราอาจจะสั้นกว่าที่คิด...ดังนั้นแล้ว บางทีเราคงไม่มีเวลามากพอที่จะแบกความโกรธ, เกลียด, แค้น แล...

Post#3-122: ฉันเฝ้าถามความสุขอยู่ที่ไหน?

Post#3-122: ผมเชื่อว่า เราต่างคนต่างมีหนทางที่แตกต่างกัน ในการใช้ชีวิตให้มีความสุข...เราไม่อาจบอกได้ว่า หนทางไหนเป็นหนทางที่ถูก และหนทางไหนเป็นหนทางที่ผิด บางคนมีความสุขกับการสะสมสิ่งของ บางคนมีความสุขกับการเพิ่มเติมประสบการณ์ใหม่ๆ และบางคนก็หันไปพึ่งพาธรรมะ แต่ที่แน่ๆ เราต่างต้องพึงรู้ว่า "ความสุข" นั้น ไม่ใช่ "เป้าหมาย" ที่ต้องตามหา หากแต่เป็น "แนวทาง" ต่างหาก (Post#2-13) ... ตราบเท่าที่เรายังไม่หลุดพ้นวัฏสงสาร เราก็ยังต้องพบกับวงจรแห่งความสุขและทุกข์ต่อไปเรื่อยๆ ผมรู้และทุกคนก็รู้ ว่าสุขหรือทุกข์ล้วนเกิดที่ใจ จึงต้องดับที่ใจ และไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา...หากแต่จะมีสักกี่คนที่ทำใจยอมรับกับอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา แห่งความสุขและความทุกข์ได้ ในเมื่อเราต่างก็ไม่ได้มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์...เราจึงต้องฝึกจิตให้เคยชินกับการสลับสับเปลี่ยนของวัฏจักรแห่งทุกข์และสุข ...เพราะในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข มันก็จะผ่านเราไปอยู่ดี (Post#22) ... ก็ในเมื่อไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า...งั้นเรามาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขให้มาก...

Post#3-121: ตั้งสติก่อนถกเถียง

Post#3-121: เรื่องทะเลาะเบาะแว้งและความยุ่งเหยิงต่างๆ ในโลก ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน เหตุผลของเราอาจจะเป็นเพียงแค่คำแก้ตัวที่ไร้สาระสำหรับใครบางคน และเรื่องบางเรื่องที่เรามองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับใครบางคนมันอาจจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เป็นเพราะเรามีกรอบความรู้, กรอบประสบการณ์และปฏิกิริยาที่มีต่อเรื่องราวต่างๆ ไม่เหมือนกันนั่นเอง ... Marcus Aurelius (จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิ์โรม ช่วง ค.ศ.16) ทรงมีความเห็นว่า "Everything we hear is an opinion, not a fact. Everything we see is a perspective, not the truth." แปลว่า "สิ่งต่างๆ ที่เราได้ยินเป็นเพียงความเห็น มิใช่ข้อเท็จจริง สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นเป็นเพียงมุมมอง มิใช่ความจริง" ... ดังนั้น ก่อนที่จะเถียงกันหรือทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้นนั้น เราก็ควรจะเริ่มต้นด้วยการเช็คตรรกะของทั้งสองฝ่ายให้ชัดเจนก่อนครับ...ไม่งั้นก็เถียงกันเหนื่อยเปล่าๆ หัดฟังให้ตลอดความก่อน ไม่ใช่แค่เปิดหู...แต่ต้องเปิดใจฟังด้วย ฟังแล้วก็ต้องคิดตาม ไตร่ตรอง วิเคราะห์ และที่สำคัญต้องแยกข้อเท็จจริงออก...

Post#3-120: รอหน่อยนะ

Post#3-120: ให้บังเอิญผมจำเป็นจะต้องแวะ Phamacy ก่อนจะกลับบ้าน เพื่อไปซื้อ Medical Instrument บางอย่าง...คงเป็นจังหวะไม่ดี ที่ผมไปร้านนั้น ตอนช่วงจังหวะที่ เภสัชกร ไม่ได้ On Duty ข้อมูลบนกล่องบอกอะไรไม่ได้มาก และที่สำคัญเราไม่สามารถแกะกล่องออกเพื่ออ่านคำอธิบายใน Product Description ได้... ผมจึงจำเป็นต้องคุยกับพนักงานประจำร้าน เพราะผมหาความแตกต่างระหว่างสินค้า 2 ชิ้น ไม่ได้ นอกจากราคา ... ว่ากันตามจริง ที่ผมเลือกเข้าร้านนี้ เพราะเป็น Franschise Chain Store ที่มีชื่อเสียง...ผมจึงรู้สึกว่า น่าจะเชื่อถือได้มากกว่าร้านขายยาทั่วๆ ไป แม้ว่าราคาที่นี่จะสูงกว่า แต่ผมก็ยอม ด้วยคิดว่า ถือเป็นการซื้อความมั่นใจและความสบายใจก็แล้วกัน แต่ผลลัพธ์กลับลงท้ายด้วย การที่ผมต้องกลับออกจากร้านแบบมือเปล่า ... พนักงานขายคนแรก...ตอบแบบส่งเดช มั่วแบบไม่ต้องคิดตามก็รู้เลยว่ามั่ว แต่ผมเลือกที่จะยิ้มและส่ายหน้าน้อยๆ ว่าไม่เห็นด้วย ด้วยความไม่อยากต่อล้อต่อเถียง...ผมจึงหันไปถามจากพนักงานขายคนที่สอง และได้คำตอบที่มั่วยิ่งกว่าเดิม ว่าแล้วผมก็หันไปหาที่พึ่งสุดท้าย คือหัวหน้าพนักงานขาย...แต่ผมโชคร้าย...

Post#3-119: Creativity

Post#3-119: ยุคนี้สมัยนี้ แค่เป็นคนดี หรือขยันตั้งหน้าตาทำงานอย่างเดียวน่ะคงไม่พอครับ...หลายๆ ครั้ง เราจึงมักได้ยินเจ้านายทั้งหลายออกมาเรียกร้องให้ลูกน้องต้องมี "ความคิดสร้างสรรค์" ร่วมด้วย อันว่า "ความคิดสร้างสรรค์" หรือ Creativity นี้ ส่วนตัวแล้วผมมองว่า มันเป็นคำที่ตีความยาก และเป็นเรื่องที่ค่อนข้าง Subjective (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) อะไรที่เรียกว่า "ความคิดสร้างสรรค์" แล้วอะไรที่เรียกว่า "เพ้อเจ้อ"? ... หลายปีที่ผ่านมา เรามักจะได้ยินคำว่า Think out of Box หรือ "คิดนอกกรอบ" ซึ่งผมสรุปและเข้าใจเอาเองว่า มันถือเป็นนิยามที่สั้นและกระชับที่สุด ของ "ความคิดสร้างสรรค์" ผมคงไม่กล้าจะสรุปว่า อะไรเรียกว่า "สร้างสรรค์" และอะไรเรียกว่า "เพ้อเจ้อ" แต่ที่พอจะฟันธงได้บ้างก็คือ ไม่ว่าจะ "สร้างสรรค์" หรือ "เพ้อเจ้อ" ล้วนต้องเริ่มต้นด้วย "ความกล้า" กล้าในที่นี้ก็คือ กล้าที่จะฉีกออกจากวิธีคิดเดิมๆ บ้าง นั่นเอง...อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ถ้าผมจะบอกว่า "Creativity is created out o...

Post#3-118: ความทรงจำแห่งครอบครัว

Post#3-118: ผมเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่วันอาทิตย์ถูกกำหนดให้เป็นวันที่เราควรใช้เวลาอยู่กับครอบครัว? ด้วย Life Style ของคนเมือง ทำให้เรามีเวลาอยู่กับครอบครัวน้อยลง...ออกไปทำงานแต่เช้าและกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ ดังนั้น การที่จะมีวันใดวันหนึ่งที่เป็นวันให้สมาชิกครอบครัวมาใช้เวลาอยู่ด้วยกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น อย่างน้อย การใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ก็เป็นหลักฐานยืนยันว่า เรามี "ครอบครัว" ... ที่ผ่านๆ มา ผมไปมาหาสู่กับอาม่าและญาติๆ แบบนับครั้งได้...ส่วนใหญ่ก็จะพบกันในวันรวมญาติต่างๆ เช่น วันเกิดอาม่า, วันตรุษจีน, วันเชงเม้ง หรือไม่ก็วันครบรอบวันตายของอากง เวลาอยู่กับอาม่าหรือญาติผู้ใหญ่...บ่อยครั้งที่ผมอยู่ในภาวะทำตัวไม่ค่อยถูก และที่สำคัญ ไม่รู้จะคุยอะไรกับท่านๆ เรียกง่ายๆ ว่าผมไม่ชอบบรรยากาศ Dead Air นั่นแหละครับ ... เมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ว่าทำไมแม่ถึงได้ชอบไปหาอาม่าได้บ่อยๆ เรียกว่าในเดือนหนึ่งๆ แทบจะหาวันอาทิตย์ที่แม่ไม่ไปหาอาม่าไม่ได้เลย...เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ผมจำความได้ ผมไม่แน่ใจว่า "ความรู้สึกโหยหาครอบครัว" จะพัฒนามากขึ้นตามอายุรึเปล่...

Post#3-117: เอาจริงเสียทีเถอะพี่ไทย

Post#3-117: เชื่อว่าทุกคนคงผ่านการ Count Down ไปแล้วด้วยอารมณ์ชื่นมื่น...สังเกตได้จากพื้นที่บน Socail Media ทั้งหลาย ที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข ผมเองก็ได้ถือโอกาสช่วงหยุดยาวนี้ พักร่างกายที่กรำงานผ่านศึกมาหนักหนาตลอดทั้งปี...แต่ก็ไม่วายแอบมีประชุมในช่วงบ่ายวันนี้ เหตุเพราะต้องมาประชุมกับชาวต่างชาติ เรียกว่าเค้าบินมาฉลองปีใหม่ที่เมืองไทยนั่นแหละครับ เลยถือโอกาสประชุมกับผมเสียหน่อย...ได้ทั้งเที่ยว ได้ทั้งงาน ว่าอย่างนั้น ... ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ยังต้องรอการฟื้นตัวของบ้านเรา...คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริง ว่าการท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้ทึ่สำคัญที่สุด ด้วยศักยภาพของประเทศไทย ที่พร้อมพรั่งทั้งแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สวยงาม, แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นสถาปัตยกรรม, ประติมากรรม และปฏิมากรรม, วัฒนธรรมและประเพณีอันตระการตา รวมไปถึงอาหารการกินอันอุดมสมบูรณ์...ผมจึงมั่นใจว่า ไทยจะยังคงเป็น Tourist Destination อันยอดเยี่ยมไปได้อีกนาน ด้วยเหตุดังนี้ เพียงแค่รัฐใช้งบประชาสัมพันธ์ให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายได้รับรู้และสนใจ ก็เป็นอันว่ารายได้จะเข้าประเทศในทันที...ไม่ต...

Post#3-116: สวัสดีปีลิงให้วิ่งว่อง

Post#3-116: สวัสดีปีลิงให้วิ่งว่อง เป็นปีทองเป็นปีดีกว่าปีไหน ที่ค้าขายให้ขายดีมีกำไร ที่ร่ำเรียนให้เขียนอ่านผ่านง่ายดาย ที่เจ็บไข้ก็ขอให้ได้หายป่วย ที่หวังรวยให้สมหวังดังใจหมาย ที่หวังคู่ได้ดังหวังทั้งหญิงชาย ที่หวังงานให้งานง่ายสบายจริง สวัสดีปีลิงต้องนิ่งบ้าง ให้ปล่อยวางเรื่องวุ่นวายให้กายนิ่ง ได้ธรรมะเป็นที่ให้ใจพักพิง ได้ค้นพบทางจริงแท้ที่ควรเดิน ที่ตรอมตรมจมจ่อมในห้วงทุกข์ ให้ขุดทุกข์ลอกคลองใจให้ตื้นเขิน อะไรรกอะไรสุมเป็นส่วนเกิน ก็ให้เดินเก็บทิ้งออกจากใจ สวัสดีปีลิงให้เปี่ยมสุข ให้ได้ทุกสิ่งหวังดังประสงค์ ได้มั่งมีมั่งคั่งและมั่นคง ได้มุ่งตรงสู่เป้าหมายอย่างมั่นใจ ที่เริ่มกิจการใหม่ให้ราบรื่น ได้ปักหลักยืนได้มั่นไม่หวั่นไหว ได้ตั้งตัวได้ตามฝันได้ภูมิใจ ได้เติบใหญ่ตามครรลองของผองชน สวัสดีปีใหม่ครับ ^^