Post#3-146:
เมื่อคืนวานผมมีโอกาสได้ไปนั่งประชุมอยู่กับนักธุรกิจใหญ่ท่านหนึ่ง พร้อมๆ กับภรรยาของท่าน และนักบริหารมืออาชีพอีก 2 ท่าน
หลังจากสรุปโครงสร้างและแผนเบื้องต้นได้เป็นที่พอใจแล้ว ท่านก็กรุณาชวนผมและท่านอื่นๆ ไปทานข้าวกัน ซึ่งคราวนี้หัวข้อในการสนทนาไปเน้นอยู่ในเรื่อง "ญาณหยั่งรู้" ของนักธุรกิจระดับโลก O_o"
สารภาพว่า ตอนท่านเล่าให้ฟัง ผมได้แต่นั่งอ้าปากหวอด้วยความทึ่ง ค่าที่ไม่เคยนึกมาก่อนเลย ว่าเรื่อง "ญาณหยั่งรู้" นั้น มีอยู่จริง และที่สำคัญฝึกฝนได้จริง
แน่นอนว่า "ญาณหยั่งรู้" ที่ท่านว่า เป็นคนละเรื่องกับพวกหมอดูที่ออกมาทำนายทายทักกันทั่วบ้านทั่วเมือง
...
อันว่า "ญาณหยั่งรู้" (หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "Intuition") นั้น เป็นผลมาจากการเจริญสมาธิอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน
เมื่อเรามีฐานสมาธิที่มั่นคง ก็จะทำให้เราสามารถที่จะคิดอะไรได้อย่างทะลุและถ่องแท้ สามารถคัดกรองสิ่งที่ทำให้จิตไขว้เขวและสับสนไปได้
ทั้งนี้ ฐานแห่งการเตรียมตัวให้เราสามารถไปถึง "ญาณหยั่งรู้" ยังต้องอาศัยการรักษาศีลเป็นอาจิณด้วย
ท่านและภรรยาสอนผมต่อว่า หากเราปฏิบัติสมาธิได้อย่างต่อเนื่องและจริงจัง เราจะสามารถเก็บกำลังแห่งสมาธินี้ไว้ได้ในภวังคจิต และจะทำให้เราพัฒนากำลังของจิตให้กล้าแกร่งขึ้นได้ตามลำดับ
เมื่อกำลังแห่งจิตกล้าแกร่ง เปี่ยมด้วยสมาธิ เราจึงถึงพร้อมด้วยปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาในระดับขั้นของ Wisdom ไม่ใช่ Knowledge
ดังนี้ ศีล, สมาธิ และปัญญา จึงเกี่ยวข้องผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น
ท่านและภรรยายังแสดงทัศนะไว้ด้วยว่า นักธุรกิจใหญ่ๆ ที่ประสบความสำเร็จในโลก ก็ล้วนแล้วแต่มี "ญาณหยั่งรู้" ในระดับสูงทั้งสิ้น
หาไม่แล้ว คงมิอาจมองทะลุเห็นความเป็นไปได้ทางธุรกิจที่คนอื่นมิอาจเห็น อีกทั้งยังวางแผนธุรกิจได้อย่างเหนือชั้นจนคนอื่นทำตามได้ยาก
...
หลายท่านอ่านมาถึงตรงนี้ ก็อาจยังไม่เชื่อที่ท่านบอก ซึ่งผมก็เห็นว่า ถูกแล้วที่เรายังไม่เชื่อง่ายๆ จนกว่าเราจะทดลองปฏิบัติดู
เรื่องแบบนี้ เป็น "ปัจจัตตัง" ที่ "ใครทำใครรู้" จริงๆ นั่นล่ะครับ ดังนั้น "ญาณหยั่งรู้" มีจริงหรือไม่ คงต้องรอการพิสูจน์
...แต่การรักษาศีล ปฏิบัติสมาธิ และเจริญปัญญา เป็นเรื่องดีกับตัวเราหรือไม่...เห็นทีว่าผมคงไม่ต้องตอบนะครับ ^^
เมื่อคืนวานผมมีโอกาสได้ไปนั่งประชุมอยู่กับนักธุรกิจใหญ่ท่านหนึ่ง พร้อมๆ กับภรรยาของท่าน และนักบริหารมืออาชีพอีก 2 ท่าน
หลังจากสรุปโครงสร้างและแผนเบื้องต้นได้เป็นที่พอใจแล้ว ท่านก็กรุณาชวนผมและท่านอื่นๆ ไปทานข้าวกัน ซึ่งคราวนี้หัวข้อในการสนทนาไปเน้นอยู่ในเรื่อง "ญาณหยั่งรู้" ของนักธุรกิจระดับโลก O_o"
สารภาพว่า ตอนท่านเล่าให้ฟัง ผมได้แต่นั่งอ้าปากหวอด้วยความทึ่ง ค่าที่ไม่เคยนึกมาก่อนเลย ว่าเรื่อง "ญาณหยั่งรู้" นั้น มีอยู่จริง และที่สำคัญฝึกฝนได้จริง
แน่นอนว่า "ญาณหยั่งรู้" ที่ท่านว่า เป็นคนละเรื่องกับพวกหมอดูที่ออกมาทำนายทายทักกันทั่วบ้านทั่วเมือง
...
อันว่า "ญาณหยั่งรู้" (หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "Intuition") นั้น เป็นผลมาจากการเจริญสมาธิอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน
เมื่อเรามีฐานสมาธิที่มั่นคง ก็จะทำให้เราสามารถที่จะคิดอะไรได้อย่างทะลุและถ่องแท้ สามารถคัดกรองสิ่งที่ทำให้จิตไขว้เขวและสับสนไปได้
ทั้งนี้ ฐานแห่งการเตรียมตัวให้เราสามารถไปถึง "ญาณหยั่งรู้" ยังต้องอาศัยการรักษาศีลเป็นอาจิณด้วย
ท่านและภรรยาสอนผมต่อว่า หากเราปฏิบัติสมาธิได้อย่างต่อเนื่องและจริงจัง เราจะสามารถเก็บกำลังแห่งสมาธินี้ไว้ได้ในภวังคจิต และจะทำให้เราพัฒนากำลังของจิตให้กล้าแกร่งขึ้นได้ตามลำดับ
เมื่อกำลังแห่งจิตกล้าแกร่ง เปี่ยมด้วยสมาธิ เราจึงถึงพร้อมด้วยปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาในระดับขั้นของ Wisdom ไม่ใช่ Knowledge
ดังนี้ ศีล, สมาธิ และปัญญา จึงเกี่ยวข้องผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น
ท่านและภรรยายังแสดงทัศนะไว้ด้วยว่า นักธุรกิจใหญ่ๆ ที่ประสบความสำเร็จในโลก ก็ล้วนแล้วแต่มี "ญาณหยั่งรู้" ในระดับสูงทั้งสิ้น
หาไม่แล้ว คงมิอาจมองทะลุเห็นความเป็นไปได้ทางธุรกิจที่คนอื่นมิอาจเห็น อีกทั้งยังวางแผนธุรกิจได้อย่างเหนือชั้นจนคนอื่นทำตามได้ยาก
...
หลายท่านอ่านมาถึงตรงนี้ ก็อาจยังไม่เชื่อที่ท่านบอก ซึ่งผมก็เห็นว่า ถูกแล้วที่เรายังไม่เชื่อง่ายๆ จนกว่าเราจะทดลองปฏิบัติดู
เรื่องแบบนี้ เป็น "ปัจจัตตัง" ที่ "ใครทำใครรู้" จริงๆ นั่นล่ะครับ ดังนั้น "ญาณหยั่งรู้" มีจริงหรือไม่ คงต้องรอการพิสูจน์
...แต่การรักษาศีล ปฏิบัติสมาธิ และเจริญปัญญา เป็นเรื่องดีกับตัวเราหรือไม่...เห็นทีว่าผมคงไม่ต้องตอบนะครับ ^^
Comments
Post a Comment