Skip to main content

Posts

Showing posts from November, 2017

Post#5-085: ปลาเน่า

Post#5-085: นึกออกมั๊ยครับ ว่าเจ้านายทั้งหลาย เหนื่อยใจที่จะทำงานกับลูกน้องประเภทไหน มากที่สุด ? เอาจริงๆ เจ้านายแต่ละคนก็คงมีขีดความอดทนกับพฤติกรรมในด้านต่างๆ ของลูกน้อง ไม่เท่ากัน บางคนทนเรื่องบางเรื่องได้ แต่กับบางเรื่องที่ดูเหมือนจะเล็กน้อย กลับทนไม่ได้เอาเสียเลย ก็มี ... แต่สำหรับผมและเจ้านายหลายๆ คน แล้ว ... ถ้าเลือกได้ เราจะไม่เลือกทำงานกับลูกน้องประเภทที่ถอดใจยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มสู้ โดยเด็ดขาด เพราะคนที่คิดแต่เรื่องยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นนั้น ... ย่อมไม่มีวันเดินทางไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการได้ เมื่อใครก็ตามตั้งเป้าว่าจะพ่ายแพ้ ... เค้าก็จะคิดหาแต่ข้อจำกัดมาบอกตัวเองและเจ้านาย ว่า เหตุผลที่ทำไม่ได้ คืออะไร ? ในขณะที่เจ้านายทั้งหลาย อยากจะได้ยินมากกว่า ว่าถ้าจะทำเป้าหมายให้บรรลุได้นั้น จะต้องให้ช่วยสนับสนุนเรื่องใดบ้าง ! ... งานใดๆ ที่ถูกมอบหมายไปให้กับคนที่เชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ จึงเท่ากับว่า ล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น เมื่อแหงนหน้ามองยอดเขาสูงแล้วท้อแท้ แทนที่จะเริ่มต้นปีนป่าย ... เราจึงมิอาจมีวันพ...

Post#5-084: โรคเฉื่อยชาเหยาะแหยะ

Post#5-084: โรคเฉื่อยชาเหยาะแหยะ น่าเสียใจอยู่ไม่น้อยเลยครับ ... ที่บ่อยครั้ง เราต้องทำงานกับกลุ่มคนที่ขาดความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิต ต้องระวังนะครับ ... เพราะโรคเฉื่อยชาหรือเหยาะแหยะนั้น ถือเป็นโรคร้ายแรง เผลอไผลไปเพียงชั่วพริบตา ... รู้สึกตัวอีกที เราอาจติดโรคนี้ไปแล้วเสียก็เป็นได้ ... เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องทำงานท่ามกลางผู้ป่วยเป็นโรคนี้ ... จึงมีแต่ต้อง “ ออกกำลัง ” อย่างสม่ำเสมอให้ตัวเรามี “ ภูมิคุ้มกันโรค ” อันว่า การ “ ออกกำลัง ” ที่ว่านั้น ... ผมขอแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่ง คือต้องออกกำลัง “ ความคิด ” ด้วยการเจริญสติ ... เจริญสติเพื่อให้เรา “ ตื่นรู้ ” ว่าเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความเฉื่อยชา ... และส่วนที่สอง คือต้องออกกำลัง “ กาย ” ด้วยการไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปวันๆ ... กล่าวคือขวนขวายหาอะไรที่เป็นประโยชน์ทำ เมื่อเกิด idle capacity ขึ้น เมื่อสติพร้อมและไม่เปิดโอกาสให้เจ้าโรคติดต่อมาเกาะแกะ ... แม้จะอยู่ท่ามกลางคนเป็นโรค เราก็จะไม่ติดโรค ... เราเท่านั้น ที่จะเป็นผู้อนุญาตให้ตัวเอง “ ติดโรค ” หรือไม่ ... อย...

Post#5-083: ลิ้นกับฟัน

Post#5-083: หากเราเข้าใจว่า “ ลิ้นกับฟัน ” ต้องมีวันกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นบางเวลา ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ “ นายกับลูกน้อง ” จะต้องมีวันที่กระทบกระทั่งกันได้ มันเป็นธรรมดาอยู่เอง ของสิ่งที่ต้องอยู่คู่กัน ใกล้ชิดกัน ... และแม้ลิ้นจะเจ็บมากกว่า แต่ทั้งลิ้นทั้งฟันก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดได้ด้วยร่างกายเดียวกัน อ้อ ! แล้วอย่าไปเหมาว่า ลูกน้องต้องเป็นลิ้นทุกครั้งไปนะครับ ... เพราะบ่อยครั้งและมากหน ที่กระทบกระแทกกันแล้ว นายเป็นฝ่ายเจ็บช้ำมากกว่า ก็มี ... แล้วเราเรียนรู้อะไรบ้าง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เรากัดลิ้นตัวเอง หรือลิ้นดันเผลอไปดุนฟันซี่ที่ปวดอยู่ ? ก็เช่นกันกับว่า เราเรียนรู้อะไรบ้าง จากการต้องขุ่นข้องหมองใจระหว่างนายกับลูกน้อง ? ขาดลิ้นไป ฤาจะได้ลิ้มรสความอร่อย ... ขาดฟันไป ฤาจะได้กลืนอาหารได้โดยง่าย ? เมื่อลิ้นกับฟันมากระทบกัน ... เราอาจจะเจ็บน้อยบ้าง เจ็บจนเลือดสาดบ้าง ... แต่ขอจงนึกถึงช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่ลิ้นกับฟันได้ทำงานสอดประสานกันทำหน้าที่ ... นึกถึงวันที่ลิ้นโดนฟันกัดเป็นแผล ... อาหารรสเลิศใดๆ ก็ไม่มีความอร่อยเหลืออยู่ ...

Post#5-082: กฎแห่งการอยู่ร่วมกัน

Post#5-082: กฎข้อหนึ่งที่ผมมักจะไม่ค่อยพลาดที่จะปฏิบัติทุกครั้ง เมื่อไปใช้บริการร้านกาแฟหรือร้านอาหาร เพื่อพบปะคุยงาน ... ก็คือ “ การอุดหนุน ” เจ้าของสถานที่ ผมเองก็เคยทำร้านอาหาร ... ดังนั้น ผมจึงเห็นใจและเข้าใจดีเหลือเกิน ว่าถ้าที่นั่งถูกครอบครองด้วยคนมานั่งแช่เฉยๆ นั้น มันน่าเจ็บปวดใจอย่างไร การอุดหนุนเจ้าของสถานที่ ตามสมควรกับเวลาที่ใช้ ... จึงเป็นเรื่องมารยาทอันควรทำอย่างยิ่ง ... นอกจากเรื่องการอุดหนุนเจ้าของสถานที่แล้ว ... อะไรที่เป็นข้อห้ามของร้าน ผมก็นิยมที่จะ “ ไม่ฝ่าฝืน ” แต่ไม่ใช่แค่ไม่ฝ่าฝืนนะครับ ... ใครฝ่าฝืนข้อห้ามของร้าน และถือเป็นการลิดรอนสิทธิ์ของผม ผมก็เอาเรื่องเหมือนกัน เช่น ผมเคยไล่คนที่อุ้มหมาเข้ามาซื้อ McDonald’s มาแล้ว แบบไม่ไว้หน้า ... แถมด้วยต่อว่า ผู้จัดการร้าน อย่างรุนแรง เพราะไม่เคารพกติกาของร้านอาหาร ไม่ใช่ผมจะมากเรื่อง ... แต่นิสัย “ หยวนๆ ” กับความไม่ถูกต้องนี่ ... ตามความเห็นของผมแล้ว ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวของวินัย อย่างแท้จริง   ... เอาจริงๆ บ้านเมืองเราจะมีความเรียบร้อยขึ้นได้อ...

Post#5-081: ทานร้านไหนดี?

Post#5-081: ผมเดาเอาว่า คงมีหลายครอบครัวหารือกันเป็นที่สนุกสนานปนลังเล ... ว่ามื้อเที่ยงนี้ หรือมื้อเย็นนี้ จะทานที่ร้านไหนดี ? มันน่าจะเป็นเรื่องตลกไม่ออกเล็กๆ ที่คนเมืองทั้งหลาย ใช้ชีวิตติดห้างมานานนับหลายสิบปี ... ต้องมาคอยลังเลถามกันไปมาด้วยคำถามที่ว่า “ มื้อนี้จะทานที่ไหน ?” แล้วหลายๆ คนก็คงจะหงุดหงิดกับคำตอบที่ว่า ...” อะไรก็ได้ ” เหมือนที่ผมก็เคยหงุดหงิดอยู่บ้าง ... นอกจาก “ เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง ... แต่ก็เป็นเรื่อง ” ในครอบครัวแล้ว ... ในชีวิตการทำงาน เราก็เจอเรื่องคล้ายๆ กันแบบนี้ อยู่บ้าง เช่นถามเจ้านาย ว่าเรื่องนี้หรือเรื่องนั้น จะให้จัดการยังไง ... แล้วได้คำตอบแบบเหมือนไม่ตอบ ว่า “ คุณก็ว่าไปเองเลย ” แต่พองานออกมา เรากลับโดนนายตำหนิว่า ทำไมไม่ทำแบบนั้น ทำไมไม่เลือกแบบนี้ ... ทำเอาเราโมโหอยู่ในใจเสียหลายหน ไม่ก็ถามหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็น ... แต่ก็ได้กลับมาเพียง “ ความเงียบ ” ที่ไม่ได้ช่วยให้การทำงานของเราง่ายขึ้นเลย ... ทั้งเรื่องจะทานร้านไหนดี กับเรื่องจะทำงานยังไงดีนั้น มีจุดร่วมกันอย่างห...

Post#5-080: ไว้วางใจ

Post#5-080: เรื่องหนึ่งที่ผมอยากสะกิดให้ลูกน้องทั้งหลายต้องเตือนตัวเองให้มากๆ ก็คือ จงทำตัวให้นายไว้วางใจ เอาจริงๆ มันก็มีหลายเหตุปัจจัยที่จะทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเกิดขึ้นระหว่างนายกับลูกน้อง และแน่นอนว่า ตัวเราเองต้องเลือกให้ถูกก่อน ว่าคนที่เรากำลังจะทำงานให้น่ะ ... น่าจะนำชีวิตเราให้เจริญก้าวหน้าได้มั๊ย ? ถ้าพิจารณาแล้ว ว่า “ ได้ ”... คราวนี้ก็เป็นตาของเราแล้ว ที่จะต้องพิสูจน์ให้นายเห็นเช่นกัน ว่าเรานั้นมีค่าเพียงพอที่จะสนับสนุน ... เมื่อว่ากันด้วยเรื่องของงาน ... ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องวัดผลกันด้วยเรื่องของ Competency งั้นก็ต้องเริ่มจาก ตรวจสอบตัวเองว่า เรามีความรู้ความชำนาญมากพอมั๊ย กับงานและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ? แล้วส่งมอบงานได้ตามมาตรฐาน , กำหนดเวลา รวมถึงงบประมาณ ตามที่ commit ไว้กับเจ้านาย รึเปล่า ? ถ้าบรรลุทั้ง 2 เรื่องนี้ ... ก็แปลว่า Competency ของเรานั้น ยอดเยี่ยม ... นอกจากเรื่องของ Competency ก็ต้องมาดูว่า เรามี Potential ที่จะเติบโตมั๊ย ? ถ้าเรามีศักยภาพที่จะเติบโตจริง ... แววของเราก็ควรจะฉายแสงให...

Post#5-079: Break the ice

Post#5-079: เย็นย่ำวันศุกร์แบบนี้ หลายๆ คน คงกำลังจะออกเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนฝูงอย่างมีความสุข ผมเองก็เช่นกันครับ ... ต่างกันแต่ว่า ของผมเป็น Business Party ที่ทางบริษัทจัดร่วมกับคู่ค้า ให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งตามธรรมชาติของงานลักษณะนี้ ... ส่วนมากแล้ว แขกแต่ละท่านก็มักจะเป็น “ คนแปลกหน้า ” ของกันและกัน เรียกว่า ต้องใช้เวลาพักใหญ่ๆ ในการทำความรู้จักกันและกัน ... เพื่อให้มื้อค่ำวันนี้ ต่างคนต่างก็จะไม่เหงาจนเปล่าดาย ... ช่วงเริ่มต้นในการทำความรู้จักมักคุ้นแบบนี้ ... ฝรั่งมีสำนวนเรียก ว่า “Break the ice” ซึ่งแปลตรงตัวว่า เป็นการ “ ทลายน้ำแข็ง ” น้ำแข็งที่ว่า ก็คือความไม่คุ้นเคยต่อกันและกัน ... ต่อเมื่อมักคุ้นกันแล้ว ความอบอุ่นของมิตรภาพจึงจะเริ่มต้น ประมาณนั้น คนที่คุ้นเคยกับงานลักษณะนี้ ต่างทราบดีครับ ว่าเริ่มต้นทักทายโอภาปราศรัยก่อน ... ย่อมทำให้ “ ความหนาวเหน็บของนำ้แข็ง ” โบกมือลาไปได้เร็ว หลายต่อหลายครั้ง งานลักษณะนี้ ทำให้เราได้เพื่อนใหม่ๆ เพราะต่างคนต่างมี “ ความชอบและความสนใจ ” ที่คล้ายคลึงกันเป็นทุนเดิม ... แล้ว...