Skip to main content

Post#5-061: ผู้ถือกุญแจแห่งความสำเร็จ

Post#5-061:
เช้านี้ ผมเข้าประชุมประจำเดือนกับทีมงาน และมีโอกาสได้พบกับผู้จัดการพื้นที่หลายๆ ท่าน ที่ถือเป็น Front-line Manager (ผมขอย่อว่า “FM” นะครับ)

เป็นธรรมดาและธรรมชาติของ Chain Store ทั้งหลาย ที่จะต้องมีการประชุมทำความเข้าใจกันเป็นระยะ...เพื่อให้มั่นใจว่า หางเสือของทุกๆ คน ยังคงมุ่งไปทางเดียวกันอยู่

นโยบายจากผู้บริหารจะถูกแปลงเป็นแผนปฏิบัติการได้ถูกต้องและผิดเพี้ยนได้น้อยที่สุดได้อย่างไร...จึงขึ้นอยู่กับว่า FM มีความเข้าใจเพียงพอหรือไม่!

เรียกว่า ถ้า FM ตีความผิด, เข้าใจผิด หรือไม่ใส่ใจ...ก็พอจะมองเห็นเค้าลางแห่งความล้มเหลวลอยมาอยู่ตรงหน้าแล้ว

FM จึงเป็นเสมือนผู้ถือกุญแจแห่งความสำเร็จ...เพราะต้องทำหน้าที่เชื่อมระหว่างหน้าร้านและหลังบ้าน 

คือต้องแปลงภาษาบริหาร ให้เป็นภาษาคนทำงาน ให้ได้ นั่นเอง!

...

โดยหลักการกว้างๆ ที่ผมมักจะใช้เตือน FM ทั้งหลาย ก็คือ

หนึ่ง...จงกระจายงาน ไม่ใช่โยนงาน

หมายความว่า FM ต้องเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง รวมถึงเข้าใจเนื้องานเป็นอย่างดีเสียก่อน

เมื่อเข้าใจงานดีแล้ว จึงจะกระจายงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม...ไม่ใช่แค่จำคำสั่งไปบอกหน้าร้านต่อ

และขอโทษที่จะต้องบอกว่า ถ้าทำได้แค่บอกต่อ...เราเรียกว่าโยนงาน ไม่ใช่กระจายงาน 

อีกทั้งมันเป็นงานของ Messenger ไม่ใช่ FM!

...

สอง...จงจำไว้ว่า กระบวนการดี ผลลัพธ์น่าจะดี

หมายความว่า ถ้ากระบวนการทำงานยังไม่ดี หรือยังไม่มี...ก็คาดหวังได้ยาก ว่าผลลัพธ์จะดีได้

แต่ถ้าผลลัพธ์ได้...ก็แปลว่าฟลุ้คเพราะทำให้ดีซ้ำอีกไม่ได้ยังไงล่ะครับ

ยังไงก็ตาม...ก็ไม่มีอะไรมารับรองได้ 100% ว่ากระบวนการดี ผลลัพธ์ต้องดีเสมอไปนะ

...

สาม...ทำงานต้องไว้ใจ แต่อย่าวางใจไปเสียหมด

หมายความว่า FM ต้องรู้จักเลือกคนมาช่วยทำงาน และให้ความไว้ใจกับหน้าร้าน...ในขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ละเลยการตรวจสอบที่จำเป็น

คนดีๆ ก็เสียมาเยอะ เมื่อความจำเป็นเฉพาะหน้ามาถึง...ดังนั้น ระบบที่ดี จึงต้องคุมด้วยการตรวจสอบและสอบทานอย่างสม่ำเสมอด้วย

...

และสุดท้าย...เราคุ้นเคยได้ แต่อย่าให้กลายเป็นคุ้นชิน

ก็หมายความว่า เราทำงานด้วยความชำนาญและคุ้นเคยกับงานได้...แต่ต้องไม่ลืมที่จะต้องปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานให้เหมาะให้ควรกับเหตุการณ์, ภาวะแวดล้อม และห้วงเวลา ด้วยเช่นกัน

ถ้าทุกๆ วัน ทำเหมือนเดิมด้วยความคุ้นเคย...มี่สุดแล้ว เราก็จะเดินเข้าไปสู่ Comfort Zone ที่ยากจะก้าวออกมา

และถ้าเป็นแบบนั้น...ก็นับถอยหลังสู่ความหายนะอีกเช่นกัน

...

ออกตัวไว้ก่อน ว่าผมไม่ใช่ Guru ที่เก่งที่สุดในเรื่อง Retail Management...แต่นี่เป็นหลักการที่ผมตกผลึกมาจากการทำงาน และคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์บ้าง ก็เท่านั้น

ซึ่งหาก FM ทุกท่าน ตระหนักรู้ถึงหลักการทั้ง 4 ข้อ (ซึ่งไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวนะครับ)...ก็จะทำให้มีแนวทางในการกำกับดูแลหน้าร้านได้ดีขึ้น

ไม่เฉพาะ FM เท่านั้นนะครับ...แต่คนที่มีลูกน้องในความดูแล ไม่ว่าระดับใด ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หมดครับ

...ขอเอาใจช่วย FM ทุกท่าน ให้ปฏิบัติหน้าที่ลุล่วงไปได้ด้วยดีนะครับ...

#NoteToSelf: 

  • ขงเบ้งมิอาจเรืองนาม หากขึนผลเช่นกวนอูและเตียวหุยไร้สามารถ เช่นเดียวกับที่ขุนพลมีอาจแสดงศักยภาพ หากขาดกุนซือแนะแนว
  • ก็หมายความว่า ไม่ว่านโยบายจะดีแค่ไหนก็ตาม ถ้านำไปปฏิบัติไม่ได้ ก็คือความล้มเหลว...และ FM ก็คือผู้ถือกุญแจที่ใช้ไขไปสู่ความสำเร็จนั้น
  • จะชนะศึกอันยิ่งใหญ่...ล้วนต้องเริ่มจากความเข้าใจแผนกลยุทธ์อย่างถ่องแท้...หรือมิใช่?

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...