Skip to main content

Post#5-073: เอะอะก็รับคนเพิ่ม

Post#5-073:
ผมเคยคุยไว้บ่อยอยู่เหมือนกัน เกี่ยวกับการ put the right man to the right job...ซึ่งเราทุกคนต่างก็รู้ดี ว่ามันสำคัญเพียงใด

แต่เอาเข้าจริงๆ เรามักจะเจอกรณีที่ผู้ปฏิบัติงานมี competency ไม่เหมาะกับ Job Description ที่กำหนดเอาไว้

แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ล่ะ?

...

ตอบแบบฟันธงคงจะยากครับ...เพราะมันขึ้นอยู่กับหลายเหตุ-ปัจจัย เหลือเกิน

ถ้ายึดตามความเห็นของผม...สาเหตุหลักๆ ก็เพราะต้นสังกัดนี่แหละ ตัวดีนักเชียว

เปล่านะครับ...ผมไม่ได้กำลังจะเข้าข้าง HR เลยแม้แต่น้อย...แต่ผมพบว่า ต้นสังกัดทั้งหลาย มักจะชอบแก้ปัญหาทำงานไม่ทันด้วยการขอคนเพิ่มและขอแบบเร่งด่วนเสียเป็นส่วนใหญ่

และเกือบจะร้อยทั้งร้อย จะโยนให้เป็นความรับผิดชอบของ HR ในการกำหนด Job Qualification และ Job Description...ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้นสังกัดนั่นแหละ ที่จะต้องรู้ดีที่สุด!

...

เมื่อคนอยากรับไม่ได้เขียน และคนเขียนเขียนด้วยความไม่รู้ลึกซึ้ง...ปัญหาต่างๆ ก็จึงตามมา

ผลลัพธ์ก็คือ เมื่อได้คนมาทำงาน ก็มักจะไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริง แต่เพราะว่าเร่งด่วนไงครับ...ก็เลยต้องรับเข้ามาก่อน

ลงท้าย เมื่อเราไม่ได้คนตรงใจ จึงมิอาจจะใส่คนให้ตรงงานได้

...

ดังนั้น การกำหนด Job Qualification กับ Job Description จึงต้องเป็นความรับผิดชอบของต้นสังกัด

ซึ่งแม้จะเขียนเป็นภาษาสวยๆ เพื่อลงประกาศรับสมัครงานไม่ได้ ก็ควรชวน HR มานั่งคุยกัน แล้วก็ขอให้ช่วยเรียบเรียงให้

แค่นั้นจริงๆ

...

สำคัญที่ก่อนจะเอะอะก็รับคน...ต้นสังกัดควรต้องพิจารณาเรื่องกระบวนการทำงานเป็นเรื่องแรก

เอาให้แน่ๆ ว่าการรับคนเพิ่มน่ะ ใช่การแก้ปัญหาตรงจุดมั๊ย?...บ่อยครั้งมันก็เพราะเรามีกระบวนการทำงานที่ผิดพลาดต่างหาก

...จะหาคนตรงงานได้ ต้องรู้ว่า pain point ของเราอยู่ตรงไหน...แน่ใจใช่มั๊ย ว่าไม่ใช่ปัญหาเรื่องกระบวนการ...

NoteToSelf:

  • มากคนก็มากความ ดังนั้น คิดให้มากๆ คิดให้ดีๆ ก่อนจะรับคนเพิ่ม เพราะรับเข้ามาแล้ว เราต้องดูแลเค้า ไม่ใช่ทิ้งขว้าง...คนนะ ไม่ใช่สิ่งของ
  • ก่อนจะรับคนมาแก้ปัญหา...ดูให้แน่ ว่าใช่มั๊ย / แน่ใจนะ ว่าปัญหาเกิดจาก workload จริงๆ
  • จะใส่คนให้ตรงงานได้...ต้องชัดเจนก่อน ว่าคนแบบไหนที่เราต้องการ แล้วจะรับเข้ามาทำหน้าที่อะไร?

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...