Post#5-071:
บ่ายวันนี้ ผมใช้เวลาไปกับการคุยกับทีมงานของบริษัทขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เพื่อ fine tune ให้ทีมงานเข้าใจกันมากขึ้น
บ่อยครั้งที่ปัญหาก็เกิดขึ้นจากเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ที่ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต และส่งผลต่อพลังทีมอย่างน่าเสียดาย
ยกตัวอย่างเช่น ปัญหานั้นอาจจะเกิดจากความพลั้งเผลอหรือคิดน้อยไปหน่อยของทีมงานบางคน ทำให้คนอื่นๆ ไม่พอใจ
บางทีคนทำปัญหายังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำก็มี...แต่ฝ่ายที่ไม่พอใจก็ไม่บอกกล่าว กลับทำเป็นมึนตึงหรือ boycott อีกฝ่าย
ฝ่ายที่สร้างปัญหาโดยไม่รู้ตัว เมื่อโดนทำมึนตึงหรือ boycott...ก็ไม่คิดจะถามไถ่ แต่เมื่อโดนมึนตึงใส่ ก็เลยมึนตึงเป็นการโต้ตอบ
เมื่อไม่คุยกันหลายวันเข้า...การจะเริ่มต้นคุยก่อน จึงกลายเป็นการเสียหน้า เสียศักดิ์ศรี และกลายเป็นคนแพ้ ไปเสียอย่างนั้น
...
บางครั้งผมว่า คนไทยเราน่าจะเลิกมีความเชื่อที่ว่า “คนขอโทษก่อนคือคนผิด” เสียบ้างก็น่าจะดี
พูดตรงๆ เลย ผมว่านิสัยหรือความเชื่อบางเรื่องบางอย่างของคนไทย ไม่ค่อยเอื้อต่อการทำงานเป็นทีมเอาเสียเลย
ทั้งๆ ที่แค่ลดทิฏฐิลงสักนิด ทอนอัตตาลงสักหน่อย...เพียงเอ่ยปากถามกันสักหน่อย ว่าไม่พอใจกันด้วยเรื่องไหน ปัญหาก็จะไม่เกิด
...
ทั้งหลายทั้งปวง ก็เพราะไม่อยากให้ตัวเองเป็น “ผู้แพ้” แค่นั้นเอง
ถ้าเพื่อนร่วมงานทำให้เราไม่พอใจโดยอาจจะไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ตัว...ก็แค่เตือนกันดีๆ สักนิด
หรือถ้าจู่ๆ เพื่อนร่วมงานของเรามีอากัปกิริยาต่อเราผิดแผกไปจากเดิม...ก็แค่เอ่ยปากถามสักหน่อย
บางครั้งแค่การเอ่ยปากไถ่ถาม หรือแค่มีคำขอโทษสั้นๆ ให้แก่กัน...ก็อาจเปลี่ยนที่ทำงานให้เป็น “นรก” หรือ “สวรรค์” ได้ในพริบตา
...คนขอโทษก่อนเพื่อขจัดความอึมครึม จึงไม่น่าจะเป็น “ผู้แพ้”...หากแต่เป็น “ผู้อยากให้องค์กรชนะ” เสียล่ะมากกว่า...เห็นด้วยมั๊ยครับ?...
#NoteToSelf:
- นิสัยไม่ดีของคนส่วนใหญ่ คือไม่พอใจก็เก็บเงียบ โดยคิดว่าอีกฝ่ายจะตรัสรู้ได้เอง ว่าถูกมึนตึงใส่เพราะอะไร
- ไม่พอใจกับเรื่องเล็กๆ ก็รีบเคลียร์กัน...อย่าให้ลุกลามใหญ่โตจนกระทบกับงาน และสะเทือนความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนร่วมงาน
- เวลา 8-9 ชั่วโมง ที่อยู่ร่วมกันใน office, ควรร่วมกันทำให้เป็น “สวรรค์” ไม่ใช่ “นรก”
Comments
Post a Comment