Skip to main content

Post#5-093: แฟนซีปีใหม่

Post#5-093:
ค่ำนี้ผมได้รับโอกาสได้เข้าร่วมงานฉลองปีใหม่ล่วงหน้าของบริษัทแห่งหนึ่ง

น่าจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว...ที่งานปีใหม่ต้องมาคู่กับการแต่งแฟนซี ซึ่งก็จะมีคนอยู่ 2 กลุ่ม

คือกลุ่มแรก แต่งมาแบบจัดเต็ม...มาเป็นทีมก็มี และมาเดี่ยวก็มาก

กับอีกกลุ่มก็เป็นพวก มาในชุดธรรมดานั่นล่ะ ไม่ได้อยากจะมีส่วนร่วมกับการแต่งแฟนซี และพอใจจะส่งเสียงเชียร์มากกว่า

ผมเป็นพวกกลุ่มหลังครับ :)

...

เอาจริงๆ ผมว่าถ้าไม่มีการกำหนด Theme การแต่งกายแล้วล่ะก็...งานคงจะขาดสีสันไปเยอะเลย

พอมีการกำหนด Theme ก็ไม่ต่างจากเป็นการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน...

เมื่อมีคนแต่งตัวใน Theme เดียวกัน มาอยู่รวมกันมากๆ เข้า...มันจึงกลายเป็นพลังดึงดูดให้งานดูคึกคัก และคนกลุ่มนี้ก็จะเป็นแก่นที่ทำให้คนในงานสนุกสนาน ทั้งถ่ายรูป พูดคุย และหยอกล้อกันเป็นที่อึกทึก

ทำนองเดียวกับถ้ามีคนที่เข้าใจเป้าหมายเดียวกันมากๆ เข้า...มันก็จะกลายเป็นพลังที่จะชักนำให้คนที่เหลือทั้งหมดเข้าใจได้ว่า ทิศทางที่ควรจะมุ่งไปนั้น อยู่ทางไหน

...

เมื่อคนกลุ่มนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ...งานปีใหม่ปีต่อๆ ไป คนที่ไม่สนใจจะแต่งตัวเข้า Theme  ก็จะลดจำนวนลงเรื่อยๆ เพราะรู้ตัวแล้ว ว่ากำลังจะกลายเป็นส่วนน้อยในสังคม

เมื่อคนที่เข้าใจเป้าหมายขององค์กรมีมากขึ้นและมากขึ้น...ก็เท่ากับคนที่ยังไม่เข้าใจจะหันมาทำความเข้าใจ 

ส่วนคนที่ไม่พยายามจะเข้าใจ ก็จะต้องจากไปในที่สุด

ทั้งการกำหนด Theme และการกำหนดเป้าหมาย จึงวางอยู่บนจุดประสงค์เดียวกัน

...นั่นก็คือการนำกลุ่มคนหรือองค์กรให้ไปในทิศทางที่สอดคล้องตรงกัน โดยไม่ผิดทิศผิดทาง นั่นเองครับ...

#NoteToSelf: 

  • ถ้าไม่อยากแต่งตัวเข้า Theme ก็จงอย่าแต่งตัวขัดกับ Theme...ถ้าไม่อยากจากองค์กรไป ก็จงเดินไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่สวนทาง
  • พลังขององค์กรจะเกิดได้...ก็ต่อเมื่อมีกลุ่มคนที่เข้าใจเป้าหมายขององค์กรมากพอ และสามารถโน้มนำคนที่ยังไม่เข้าใจ ให้เดินตามมาได้โดยไม่ขัดเขิน
  • ผู้นำองค์กรจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะต้องไม่ยอมถอดใจที่จะฉุดรั้งและผลักดันทุกคนให้มุ่งไปสู่เป้าหมาย

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...