Skip to main content

Post#2-334: Charisma

Post#2-334:
บ่ายวันนี้ผมใช้เวลาในการสัมภาษณ์ผู้สมัครท่านหนึ่งเป็นเวลานานมาก

ว่ากันที่จริง มันเป็นการสัมภาษณ์ที่ผมไม่ค่อยได้เป็นฝ่ายพูดด้วยซ้ำ เรียกว่าเน้นฟังเป็นหลักก็ว่าได้

โดยส่วนมากที่ผมเรียกใครมาสัมภาษณ์ ผมมักจะให้น้ำหนักกับการแสดงวิสัยทัศน์และการเตรียมตัวเพื่อที่จะมาสัมภาษณ์ของผู้สมัครมากพอควร

...

เมื่อทำงานมาถึงระดับหนึ่ง จนถึงระดับสูงกว่าผู้บริหารระดับกลาง เรื่อง Competency มักจะเป็นเรื่องท้ายๆ ที่ผู้บริหารระดับบนๆ จะให้น้ำหนัก

เพราะถ้าก้าวหน้าในหน้าที่การงานมาถึงระดับนี้ เรื่องที่ว่าจะมี Competency ไม่พอ เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปได้ยาก และหาความแตกต่างในองค์ความรู้เชิงทฤษฎีไม่ค่อยจะเจอ

จากประสบการณ์ของผม พบว่าสิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงมักใส่ใจและให้น้ำหนักมากเป็นพิเศษก็คือ Charisma หรือแปลเป็นไทยว่า "เสน่ห์" นั่นเอง

...

Charisma นี้ ไม่ได้แปลว่า ต้องหน้าตาหล่อเหลาหรือสวยโดดเด่น แต่หมายความถึงความมีเสน่ห์แบบองค์รวม ทั้งหน้าตา การแต่งกาย บุคลิกลักษณะ การวางตัว น้ำเสียง แววตา การควบคุมอารมณ์ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การแสดงทัศนคติที่มีต่อสิ่งต่างๆ

คนที่จะแสดง Charisma ออกมาจนเราสัมผัสได้ จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องเป็นผู้ที่ถึงพร้อมในระดับหนึ่ง ทั้งเรื่องความเป็นคนเก่งและความเป็นคนดี

คนเก่งที่สุดอาจไม่ใช่นายที่ดีที่สุด และคนดีที่สุดก็หาใช่นายที่ดีที่สุดเช่นกัน...คนที่จะเป็นนายที่ดีที่สุดจึงเป็นคนที่มีส่วนผสมของความเป็นคนเก่งและคนดีแบบลงตัวพอดีและพอเหมาะกับองค์กรนั้นๆ ในช่วงเวลานั้นๆ นั่นเอง

...

ถามว่า ถ้าอยากจะมี Charisma บ้าง ต้องทำยังไง?

ตอบแบบกำปั้นทุบดินเลย ก็คือต้องฝึกฝนมากๆ ครับ...เริ่มจากฝึกที่วิธีคิด ดูตัวอย่างจากผู้บริหารในระดับที่สูงกว่าเรา (หา idol ให้เจอนั่นเอง) จากนั้นก็ลุยงานให้เต็มที่ สร้างพวกพ้องให้มากๆ (ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานในทางที่ถูกนะครับ)

ที่เหลือต่อจากนั้น ก็เตรียมตัวเป็น "นาย" คนต่อไปเท่านั้นล่ะครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...