Post#2-347:
ศิลปะแห่งการพูดและการฟังนั้น ถือเป็นความท้าทายหนึ่งที่ทุกผู้คนบนโลกล้วนต้องลองตั้งคำถามตัวเองดูสักครั้ง
ทำไมเรารู้สึกชอบคุยกับคนนี้ แล้วทำไมเราถึงไม่อยากคุยกับคนนั้น หรือบางครั้งชอบฟังคนโน้นเล่าเรื่อง?
การจะได้รับความยอมรับจากใครสักคนนั้น ทั้งการพูดและการฟังล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญที่เรามิอาจละเลยได้จริงๆ
...
ฝรั่งเองก็มีวาทะเตือนใจเกี่ยวกับเรื่องการพูดและการฟังอยู่เหมือนกันครับ...ซึ่งอ่านดูแล้วมันแสนจะเรียบง่าย แต่อาจกินเวลาชั่วชีวิตที่จะทำให้ได้...เค้าว่าไว้อย่างนี้ครับ
"Speak in such a way that others love to listen to you. Listen in such a way that others love to speak to you."
แปลว่า "จงพูดในแบบที่ผู้อื่นอยากจะฟังเราพูด และจงฟังในแบบที่ผู้อื่นสบายใจที่จะพูดให้เราฟัง"
...
ยังไงก็ตามแต่ ผมก็อยากฝากให้ตีความวาทะข้างต้นให้ดีนะครับ...วาทะนี้ไม่ได้สอนให้เราหลอกลวง, ไม่จริงใจ หรือว่าตีสองหน้า...แต่เค้ากำลังบอกให้เราต้องใช้ศิลปะในการอ่านผู้คนต่างหาก
เพราะเมื่อเราต้องเจอกับผู้คนร้อยพ่อพันแม่, วิธีคิดต่างกัน, พื้นเพต่างกัน, การศึกษาต่างกัน รวมไปถึงความสนใจก็ต่างกัน...ก็แปลว่า เราไม่สามารถพูดกับเค้าด้วยแบบแผนหรือหัวข้อของการพูดแบบเดียวกันได้แน่ๆ
ดังนั้น การที่จะอ่านเค้าให้ถูก เลือกภาษาที่จะสื่อสาร, เลือกจังหวะในการเล่าเรื่อง รวมไปถึงเลือกเรื่องที่จะสนทนาให้เหมาะกับความสนใจและความเข้าใจของใครคนหนึ่งนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
เฉกเช่นเดียวกับเมื่อเราเป็นผู้ฟัง...เราก็จำเป็นจะต้องวิเคราะห์คนพูดด้วย ว่าเค้าอยู่ในอารมณ์แบบไหน, ต้องการการโต้ตอบแบบไหน รวมไปถึงการฟังสิ่งที่เค้าไม่ได้พูดด้วยเช่นกัน
...
ผู้ที่พัฒนาตัวเองจนเชี่ยวชาญทั้งการพูดและการฟังได้...จึงเข้าใกล้กับการเป็นผู้ครองใจคน
และเมื่อเราเข้าใจบริบททั้งหมดของการพูดและการฟัง...เราจึงจะกลายเป็น "คู่สนทนา" ที่ดีได้
การจะเป็นผู้พูดที่ดีได้ จำเป็นจะต้องเป็นผู้ฟังที่ดีให้ได้ก่อน...อันเป็นตรรกะเดียวกันกับที่ว่า การจะเป็นนักเขียนที่ดีได้ ก็จำเป็นจะต้องเป็นนักอ่านที่ดีก่อน
ก่อนจากผมขอฝากให้ไปคิดต่อยอดครับ...
"การฟังต่างจากการได้ยินฉันใด การพูดก็ต่างจากการเปล่งเสียงฉันนั้น"
Comments
Post a Comment