Skip to main content

Post#2-335: ไม่ต้องมีครบทุกสิ่ง

Post#2-335:
ช่วงสุดสัปดาห์นี้ ผมหลีกหนีความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงมายังเมืองชายทะเลอันเป็นที่รักของครอบครัวของผมอีกครั้ง

มาคราวนี้พิเศษตรงที่ได้มาเจอเพื่อนๆ อีกหลายคนด้วยเช่นกัน ได้ทานข้าวด้วยกัน ได้ถ่ายรูปร่วมกัน และได้พูดคุยสรวลเสเฮฮากันตามธรรมเนียม

คำโบราณก็เคยว่าไว้ ว่าการหัวเราะก็เหมือนได้ทานยาวิเศษที่ทำให้อายุยืนยาวขึ้นอีกหลายปี เรียกว่ามาพักผ่อนครั้งนี้ ผมคำนวณคร่าวๆ ว่าน่าจะทำให้อายุยืนเกินร้อยเลยก็ว่าได้ ^^

...

ทุกครั้งที่ได้มาใช้ชีวิตแบบ Hide Away ผมอดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตนี้จะต้องการอะไรอีก?

ผมรับรองได้ว่า ไม่ได้กำลังจะทำตัวเป็นพวก "องุ่นเปรี้ยว" แต่อย่างใด สารภาพตรงๆ ว่าผมก็ยังมีกิเลส ยังอยากร่ำรวย และยังไม่หยุดขวนขวายและแสวงหา เพียงแต่จู่ๆ ผมก็มีความรู้สึกว่า เรามีความสุขมากๆ ได้เพียงแค่เราพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่ตรงหน้าก็น่าจะพอ

คิดมาถึงตรงนี้ ผมก็เลยอยากรู้ว่า มีใครในโลกนี้คิดเหมือนผมบ้างมั๊ย ไม่รอช้า ผมก็เลยถามอากู๋ทันที แล้วก็ไปเจอวาทะหนึ่งที่โดนใจผมในขณะนี้ซะเหลือเกิน เค้าว่าไว้ว่า...

"Those who are the happiest never did have everything, but rather they are thankful for everything they do have." แปลว่า "คนที่มีความสุขที่สุดนั้น ไม่ใช่คนที่มีพร้อมทุกสิ่ง, แต่เป็นคนที่รู้สึกยินดีกับทุกสิ่งที่มีอยู่ต่างหาก"

...

ทุกครั้งที่เหนื่อยหน่ายและทดท้อ ผมมักจะบอกตัวเองว่า เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่มีชีวิตเฉกเช่นทุกวันนี้ ไม่ต้องใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบ ยังมีโอกาสได้เที่ยว ได้หัวเราะ และได้สุรุ่ยสุร่ายบ้าง ต่างจากอีกหลายพันล้านชีวิตที่ลำบากกว่าเรามากนัก

หากคิดถึงความจริงข้อนี้...ผมว่าเราไม่ควรเรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้อีก และหากแม้นว่าสวรรค์มีจริง...ความปิติที่เราได้มีโอกาสใช้ชีวิตที่ดีกว่าคนอีกหลายพันล้านคนที่ว่า ก็ควรจะเป็นนิยามที่ใกล้เคียงกับคำว่าสวรรค์มากที่สุดแล้ว

เราจะต้องการอะไรมากไปกว่า การมีครอบครัวที่ดี มีเพื่อนน่ารัก มีงานทำ และยังมีพรุ่งนี้ให้ลืมตาตื่นขึ้นใหม่

ความสุขอันจริงแท้...ไม่ต้องมีครบทุกสิ่ง...แต่แค่พอใจกับทุกสิ่งที่มี ^^

cr: Facebook/Positive Attitude Quotes

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...