Skip to main content

Post#2-339: คือหัตถาครองพิภพ

Post#2-339:
ใครๆ ก็รู้และยอมรับว่า ความรักที่พิสุทธิ์ที่สุดก็คือความรักที่แม่มีต่อลูก

เราทุกคนก็มักจะได้เห็นและได้ยินข่าวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เกี่ยวกับเรื่องดีๆ ที่แม่มีให้กับลูก ถึงขนาดตายแทนได้ก็มีให้เห็นมากมาย

ตั้งแต่เราปฏิสนธิอยู่ในครรภ์ของแม่ จนกระทั่งคลอด แล้วอยู่รอดจนมาถึงวันนี้ได้ ส่วนใหญ่แล้ว แม่นั่นเอง คือผู้ประคับประคองและดูแลเราอยู่เสมอ

ด้วยเหตุดังนี้ พันธกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จึงไม่มีอะไรจะสามารถมาเปรียบกับพันธกิจแห่งความเป็นแม่ได้

...

บางคนมีเหตุให้เป็นไป ไม่มีโอกาสได้อยู่กับแม่ และหลายคนไม่มีแม่คอยอุ้มชู...ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรก็ตามแต่...แค่บุญคุณที่แม่ถนอมครรภ์จนเราคลอดออกมาได้ เท่านี้ก็มิอาจทดแทนพระคุณแม่ได้หมดสิ้นแล้ว

แม่เฝ้าถนอมเราตั้งแต่ยังไม่คลอด จนเราเติบใหญ่...เราเคยคำนวณมั๊ยครับ ว่าปริมาณความรักที่แม่ใช้หล่อเลี้ยงเรานั้น มันมากมายแค่ไหนกันนะ?

บางครั้งความรักของแม่ก็อาจทำให้เราอึดอัดบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง แต่ก็เป็นไปเพราะแม่รักและเป็นห่วงเรามาก...ก็เท่านั้น

...

ถ้าใครจำเนื้อเพลงใครหนอหรือค่าน้ำนมได้ ผมมั่นใจว่าคงไม่มีใครปฏิเสธได้ ว่าเราไม่อาจจะสาธยายบุญคุณและความดีที่แม่มีให้เราได้หมดสิ้น

ท่อนหนึ่งจากเพลงใครหนอ
...จะเอาโลกมาทำปากกา...แล้วเอานภามาแทนกระดาษ...เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด...ประกาศพระคุณไม่พอ...

และจากเพลงค่าน้ำนม
...แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม...แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ...เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่...นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม

...

เบื้องหลังความสำเร็จของลูกเกือบทุกคน จึงมีแม่เป็นดั่งประติมากรชั้นเลิศ ที่ปั้นแต่งเราอย่างที่เรียกว่าทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจทั้งหมดที่มี

แม่จะยอมอดให้เราอิ่มก่อนเสมอ...
แม่ใส่ชุดเก่าได้ไม่เป็นไร ขอให้ลูกได้มีชุดสวยๆ ใส่ก็พอ...
แม่อดตาหลับขับตานอนได้ แค่ขอให้ลูกหายป่วยหายไข้...
แม่ยังไม่หิว รอลูกกลับมากินข้าวบ้าน...
แม่ยังไม่ง่วง รอเห็นว่าลูกถึงบ้านปลอดภัย...
ฯลฯ

ไม่ว่าเราจะสูงต่ำดำขาว ไม่ว่าเราจะขาดเกินไม่สมประกอบ ไม่ว่าเราจะเป็นเด็กพิเศษ หรือไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็นอะไรก็ตาม...ก็มีแต่แม่เท่านั้น ที่เห็นเราเป็นเทพบุตรและเทพธิดาที่แม่รักด้วยหัวใจทั้งหมดที่แม่มี

...

ผมเชื่อว่า ทุกคนก็น่าจะเคยมีปัญหากับแม่ ผมเองก็เคย...ก็เป็นเรื่องธรรมดา...แต่เราก็ไม่เคยเคืองกันนาน ด้วยความรักระหว่างแม่ลูกนั้น มีพลังเหนือกว่าความรู้สึกอื่นใดทั้งหมด

ใครที่ยังมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับแม่...วันนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปกราบท่าน ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย

ความรักที่แม่ให้เรามันมีค่าเกินกว่าที่เราจะเอาสิ่งอื่นใดมาลบล้างลงไปได้...และผมเชื่อว่า แม่เองก็กำลังรอให้ลูกเข้าไปหา รอให้อภัย หรือแม้แต่รอที่จะขอโทษลูก

...

บางคนไม่พูดไม่จา ไม่ไปมาหาสู่แม่เป็นเวลากว่า 10 ปี เพราะคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก แบกความโกรธ แบก ego ไว้อยู่อย่างนั้น

วันหนึ่งถ้าแม่ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว...อยากรู้จริงๆ ว่าจะเข้าไปร่ำไห้กอดศพแล้วบอกขอโทษแม่รึเปล่า แล้วถ้าวันนั้นมันมาถึงจริงๆ แม่จะได้เห็น ได้ยิน ได้รับรู้มั๊ย?

แทนที่จะได้เวลาแห่งความสุขนับ 10 ปี กลับเสียเวลาไปกับการแบกอัตตานั้นไว้...ที่สุดแล้ว ก็เหลือทิ้งไว้แค่ความเสียใจ ได้แต่รำพึงรำพันว่า ผม/หนู รักแม่ ผม/หนู ขอโทษ...แบบนี้ดีแล้วใช่มั๊ย?

...

หากเราสามารถมองเห็นความรักพิสุทธิ์ให้เป็นรูปเป็นร่างได้...ผมมั่นใจว่าความรักพิสุทธิ์นั้น ก็จะต้องมีรูปร่างหน้าตาเหมือนแม่นั่นเอง

หนึ่งนาทีที่เราเคืองแม่...ก็นานเกินไปแล้ว
ตลอดชีวิตที่ใช้รักแม่...ก็ถูกต้องแล้ว

แด่แม่ของลูกและลูกของแม่ทุกๆ คู่ครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...