Skip to main content

Posts

Showing posts from October, 2016

Post#4-055: สองอาหลานกับการแบ่งงานแบบฮาเฮ

Post#4-055: เย็นวานนี้ ผมมอบหมายให้น้องชายกับลูกสาว เป็นผู้ลงมือประกอบตู้ลิ้นชักแบบ DIY ที่ซื้อมาจาก IKEA จากนั้น ผมก็ไปทำนั่น นู่น นี่ นิดหน่อย แล้วก็หลบไปงีบ...ก่อนจะถึงเวลาทานมื้อค่ำ แว่วๆ เสียง อากับหลานคุยกันงุ้งงิ้ง สลับกับเสียงหัวเราะดูเป็นที่น่าสนุกสนาน...ได้ยินแล้วผมก็อมยิ้ม จากนั้นผมก็ผลอยเข้าสู่โหมดนิทรารมณ์อันแสนสุข แล้วก็ตื่นขี้นด้วยเสียงนาฬิกาปลุก...คำนวณคร่าวๆ เวลาผ่านไปเพียงไม่เกิน 40 นาที และเสียงคุยกันสลับเสียงหัวเราะ ก็ยังคงอยู่ ว่าแล้ว ผมเข้าไปเช็คผลงาน ปรากฏว่า งานคืบหน้าไปแค่ 35% เท่านั้น...เอาล่ะสิ ที่งานไม่คืบหน้าเอาเสียเลย เพราะเน้นเสียงหัวเราะเป็นหลักกันรึเปล่านะ? ... จากคำบอกเล่าของสองอาหลาน...ที่งานไม่คืบหน้าน่ะ ก็เพราะจุดประสงค์ที่ต้องการเน้นความสนุกสนานร่วมกันเป็นหลัก... ว่าแล้วคุณอาก็เลยมอบหมายให้คุณหลานเป็นคนดูคู่มือฯ ส่วนน้องชายผมเป็นคนลงมือประกอบ -"- ก็แน่ล่ะ ลูกสาวผมคงเป็นคนลงมือประกอบไม่ไหว...แต่ให้ไปดูคู่มือฯ นี่ก็ไม่น่าจะใช่การแบ่งงานที่ถูกเลย >_<" มิน่าล่ะ...ผมถึงได้ยินเสียงคุยกันงุ้งงิ้งสลับกับเสียงหัวเราะอยู่ตล...

Post#4-054: Shopping กับเด็กๆ

Post#4-054: วันนี้ผมมีโอกาสใช้ชีวิตเป็นพ่อลูกอ่อนอีกครั้ง เหตุเพราะภรรยาผมติดธุระแทบจะทั้งวัน...ผมก็เลยมีโอกาสกระเตงลูกสาวไปโน่นมานี่แบบอยู่ไม่ติดที่ ^^ ว่ากันที่จริง การได้ไปไหนมาไหนกับลูกแค่สองคน...ก็ได้บรรยากาศแบบที่แปลกแตกต่างไปจากความคุ้นชินของผมไม่น้อย และวันนี้ทั้งสองพ่อลูกก็ไม่ได้ออกมาเดินเที่ยวห้างฯ กันแบบไร้จุดหมาย...หากแต่ลูกสาวของผมได้รับ mission จากคุณแม่มาด้วย ... ทุกคนคงทราบดีและเห็นด้วยว่า รูปแบบในการ shopping ของผู้หญิงนั้น ค่อนข้างแตกต่างเป็นอย่างมากจากผู้ชาย ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ชายจะมีเป้าหมายชัดเจน จะมาซื้ออะไรก็ซื้อ ซื้อเสร็จก็ตั้งท่าจะกลับท่าเดียว ส่วนคุณสาวๆ ก็ต้องเดินชมนกชมไม้ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ให้เป็นที่เบิกบานสำราญใจ ก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายของการซื้อ นั่นเองที่เค้าเอามาแซวๆ กันว่า Men are from Mars, Women are from Venus. ... Shopping Pattern ของลูกสาวผมนั้น จะเป็นแบบผู้ชาย คืออยากได้อะไรก็จะตั้งเป้ามาจากบ้าน มาถึงก็จะดิ่งไปที่เป้าหมายเลยทีเดียว ส่วนเด็กอีกแบบก็จะแตกต่างไปเลย คือไม่มีจุดหมายที่ชัดเจน แล้วแต่แม่จะเดินนำ หรือแล้วแต่พ่อจะนำทาง ...

Post#4-053: การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดของมนุษยชาติ

Post#4-053: เช้านี้ผมมีโอกาสติดตามลูกสาวมาที่ Piano Class หลังจากที่มีอันต้องทำงานบ้าง ติดเดินทางไปต่างประเทศบ้าง อยู่หลายเดือน ว่าอันที่จริง หากใครพอจะมีกำลัง...ผมว่านี่เป็นเรื่องดีๆ ที่เราอาจได้มีโอกาสปลูกฝังภูมิต้านทานบางอย่างให้กับลูก... เสมือนให้เค้ามีสิ่งที่ focus และอาจก่อให้เกิดความรักและความผูกพัน จนไม่หลงทางไปหาสิ่งยั่วยุและเลวร้ายต่างๆ ที่ดูจะหาได้ง่ายเหลือเกิน ในสังคมปัจจุบัน ก็เพราะเราไม่สามารถอยู่กับลูกได้ตลอด 24 ชั่วโมง และไม่อาจอยู่กับเค้าได้ตลอดไป... เราจึงต้องใช้เวลาให้มากในขณะที่เค้ายังอายุน้อยๆ ในการปลูกฝังความคิดและอุปนิสัยที่ดี เพื่อให้เค้าใช้เป็นภูมิคุ้มกันในยามที่เค้าอยู่ห่างไกลสายตา หรือในยามที่เราต้องจากเค้าไปก่อนเวลาอันควร ... การได้เริ่มตั้งแต่ยังอายุน้อย...เราจึงสามารถโน้มนำและปั้นแต่งลูกได้ง่ายกว่าการเริ่มต้นเมื่อเค้าอายุมากขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็น Piano หรอกครับ...จะเป็นเครื่องดนตรีประเภทอื่นก็ได้ ซึ่งผมว่าให้ผลในเชิงกลยุทธ์ และตอบโจทย์ของเราได้ไม่ต่างกัน พ่อแม่บางท่านเลือกกีฬา...ซึ่งผมว่าก็ใช้ได้ แต่ของผมเป็นลูกสาวและยังอายุน้อย ก็เลยเลื...

Post#4-052: ในมือของกันและกัน

Post#4-052: ไม่แน่ใจว่า ท่านเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารท่านใด จะรู้สึกคล้ายๆ กับผมบ้าง...ที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก ที่รู้สึกว่า วันเวลาช่างผ่านไปไวเสียเหลือเกิน? พี่งจะวันจันทร์หยกๆ เผลอแว่บเดียวก็วันศุกร์อีกแล้ว...แทบจะยังไม่ทันตั้งตัวเลย ก็มาถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกแล้ว ละเหี่ยใจเล็กน้อย ที่รู้สึกว่า งานไม่ค่อยจะคืบหน้าไปไหนเลย...เหมือนเวลาในแต่ละวันไม่เพียงพอต่อปริมาณงานที่มี แต่กลับกันที่น้องๆ ต่างเร่งวันเร่งคืนให้วันหยุดมาถึงไวๆ และรู้สึกว่า คืนวันอาทิตย์ ช่างเหมือนใครสักคนที่มาพรากความสุขของพวกเค้าไป ... แม้ว่าเราต่างมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน...แต่ความรู้สึกของเจ้าของช่างแตกต่างจากมนุษย์เงินเดือนอย่างสุดขั้ว ...ฝ่ายหนึ่งไม่ค่อยอยากให้มีวันหยุด เพราะการทำงานหมายถึงรายได้ และรู้ซึ้งดีว่า ดอกเบี้ยเงินกู้นั้น ขยันทำงานมากกว่าตัวเองหลายเท่านัก แต่อีกฝ่ายหนึ่งอยากจะให้มีวันหยุดเยอะๆ ถึงกับตั้งหน้าตั้งตาวางแผนการลาพักร้อนให้ได้ประโยชน์สูงสุด ...ฝ่ายหนึ่งเฝ้ากังวลถึงวันสิ้นเดือน เหมือนรอวันประหาร...เดินก็คิด, นั่งก็คิด และนอนก็คิด ว่าจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายเงินเดือนลูกน้อง? อีกฝ่า...

Post#4-051: จดจำอดีตอย่างไร?

Post#4-051: เช้านี้ผมได้กลับไปเยือนบริษัทเดิมที่เคยทำงานมาก่อนเมื่อหลายปีที่แล้ว...แต่วันนี้ไปในฐานะ Vendor เพื่อไปเสนอขายสินค้า ^^ เวลาไปเสนอขายสินค้าทีไร...น้องๆ ที่เคยทำงานด้วยกัน ก็มักจะเขินๆ แล้วก็จะเกร็งๆ ไปเสียทุกที นอกจากนั้น ผมก็ดีใจที่ได้เจอน้องๆ หลายๆ คนที่เคยลำบากด้วยกันมา...ได้ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ และคุยเล่นกันบ้างตามประสา ที่ทำเอาผมน้ำตารื้น ก็คือบางคนเข้ามากอด แล้วบอกผมว่า "คิดถึงมาก"...เช่นกันที่ผมไม่เคยลืมวันและคืนที่หัวเราะและร้องไห้ไปกับพวกเค้าเลย ... แน่นอนว่า ผมย่อมไม่ใช่ "เจ้านายที่ดีที่สุด" ที่น้องๆ เคยมีมา และไม่อาจทำให้น้องๆ รักและเคารพผมได้ทุกคน แต่การที่มีน้องๆ หลายๆ คน ยังให้ความเคารพและแสดงความคิดถึงให้ผมได้รับรู้...ก็ย่อมหมายความว่า สำหรับพวกเค้าแล้ว ผมก็คงมิใช่เจ้านายที่เลวร้ายจนเกินไปนัก การได้กลับไปเยือนถิ่นเดิม แล้วยังมีคนยิ้มรับ...จึงมีความหมายยิ่งใหญ่ เพราะแปลว่า เรายังคงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ... ที่เล่ามา เจตนาผมมิใช่กำลังโอ้อวด...หากแต่อยากจะยกย่องน้องๆ หลายๆ คน ที่จดจำผมในแง่มุมที่งดงาม มากกว่าจะจดจำผมใ...

Post#4-050: คนในคุยยาก...วานคนนอกช่วยที

Post#4-050: มื้อเย็นที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เจอเพื่อนใหม่ท่านหนึ่ง ผ่านการแนะนำของน้องสาว เราถกกันหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว...เป็นที่สนุกสนานและได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ที่นำมาแลกเปลี่ยนกัน ตอนหนึ่งของการสนทนา...เราก็คุยกันถึงเรื่อง การสอนคนในครอบครัว ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่า บ่อยครั้งที่เราจำต้องยืมมือคนนอกมาสอนคนในครอบครัวของเรา ประมาณว่าคนกันเองคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องอาศัยคุยผ่านคนนอก...ประมาณนี้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด...เพราะผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็เจอปัญหาแบบนี้ ... ว่ากันตามจริง...นี่ก็ถือเป็นวิถีทางหนึ่งของการเจรจาต่อรองอยู่เหมือนกัน ด้วยความที่พี่กับน้อง, พ่อกับลูก หรือแม่กับลูก ต่างก็สนิทกันมากจนเกินไป...ทำให้คำพูดของ "คนใน" กลายเป็นเสียงที่ไปไม่ถึงคนในครอบครัวเดียวกัน และมากครั้งที่เราต่างก็เขินที่จะแสดงความรักและความห่วงใยให้คนในครอบครัวได้รับทราบแบบตรงๆ ... จากสาเหตุทั้งสองข้อที่ว่า จึงทำให้การคุยผ่านบุคคลที่สามที่อยู่นอกครอบครัว กลายเป็นทางออกที่ไม่เลว เช่น พ่อวานให้เพื่อนพ่อสอนงานเรา, เราขอให้เพื่อนของน้อง เตือนน้องแ...

Post#4-049: คิดถึง "โกะ"

Post#4-049: จู่ๆ ผมก็คิดถึงการเล่นโกะ (หรือ "หมากล้อม") ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ...ทั้งๆ ที่ผมไม่อาจเรียกตัวเองว่าคนเล่นโกะเป็นเสียด้วยซ้ำ เอาจริงๆ ผมไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำ ว่าตัวเองจะมีโอกาสมารู้จัก "โกะ" และเคยได้เล่นโกะอยู่นานหลายปี...จนได้ไปทำงานในองค์กรขนาดยักษ์ของประเทศ ที่สนับสนุนให้ทุกคนเล่นโกะอย่างจริงจัง สมัยนั้น ผมก็เล่นโกะด้วยความสนุกแบบผ่านๆ...แม้จะไม่ได้มุ่งหวังจะให้ตัวเองเป็นเลิศในเรื่องโกะ แต่ก็โมโหตัวเองที่เล่นโกะได้ "ไม่เอาไหน" เสียจริงๆ ... ครั้งนั้น ผมไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าทำไมหนอ ท่านผู้ใหญ่ทั้งหลาย จึงสนับสนุนให้ทุกคนในองค์กรเล่นโกะ จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้...วันที่ผมกลายมาเป็นผู้นำองค์กร...กลับกลายเป็นว่า ผมยอมรับจากใจจริงๆ ว่า "โกะ" นับเป็นเกมสำหรับผู้บริหาร อย่างแท้จริง และน่าเสียดาย ที่แม้วันนี้จะอยากเล่นโกะเอามากๆ แต่ก็ไม่อาจจะได้เล่นง่ายๆ เหมือนสมัยที่เคยมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของ Retail Chain Store ที่ดีแบบนั้น...อีกแล้ว ... มีหลายเหตุผล ที่ทำให้ผมคิดว่า "โกะ" ถือเป็นสุดยอดเกมสำหรับผู้บริหาร... แ...

Post#4-048: กฎและกติกา...มีไว้ทำไม?

Post#4-048: แม้จะเป็นวันหยุดชดเชย แต่ผมและลูกน้องคนหนึ่ง ก็ต้องมาสุมหัวกันเพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับ Conference Call ในวันพรุ่งนี้ บางครั้งการต้องทำงานในวันหยุด ก็เป็นเรื่องดีไม่น้อย ค่าที่งานดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว...เพราะไม่มีใครติดต่อมา และติดต่อใครก็ไม่ได้ เมื่อมีสมาธิ งานก็เสร็จเร็ว...แต่ข้อสำคัญน่าจะอยู่ที่ อยากให้งานเสร็จไวๆ จะได้ไปทำอย่างอื่นที่ชอบมากกว่า ^^ ... ด้วยความที่เป็นบริษัทเล็กๆ...อะไรที่ช่วยกันได้ เราก็จำเป็นต้องช่วยเหลือกันแบบไม่ค่อยเหลือทางเลือกให้ต้องมาเกี่ยงงอนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ใช่ว่า เจ้าของกิจการขนาดเล็ก จะสามารถปล่อยให้มีที่ว่างสำหรับคนที่ไม่มีผลงานได้ ไม่อย่างนั้น เราคงไม่มีหน้าไปตอบคำถามคนที่ทำงานทุ่มเทอย่างหนักเพื่อบริษัทได้...จริงมั๊ยครับ? ... ทุกครั้งที่ผมคุยกับคนรุ่นใหม่ในเรื่องเวลาทำงาน...ก็มักจะได้ยินเรื่องทำไมต้อง "มาเช้า กลับค่ำ" ไปเสียทุกที จริงอยู่ ที่เราไม่ได้วัดผลงานกันที่เวลาทำงาน...แต่การมาสายบ่อยๆ และกลับตรงเวลาเป๊ะๆ ทุกวัน ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม ตราบเท่าที่เรายังไม่ได้ทำงานใน office ที่ใช้ Flexibl...

Post#4-047: เพลงสรรเสริญพระบารมี

Post#4-047: ช่วงหลายวันมานี้ ผมซ้อมเพลงให้ลูกสาว เพราะอยากให้เธอเล่น "เพลงสรรเสริญพระบารมี" ได้ น่าเสียดายที่ผมเล่นเครื่องดนตรีเป็นเพลงชนิดเดียว นั่นก็คือ "ขลุ่ย"...นอกนั้นเป็นได้ก็แต่คนฟัง ...ผมเล่นขลุ่ยครั้งแรก ก็ตั้งแต่สมัยมัธยมปีที่ 2...นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ผ่านมาแล้ว กว่า 25 ปี แต่น่าแปลกที่ผมยังจำโน้ตเพลงได้เกือบทุกตัว...สาเหตุหนึ่ง ก็คงเพราะเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นเพลงหนึ่งที่ต้องใช้สอบ นึกแล้วก็ขอบคุณคุณครูเหลือเกิน ที่ทำให้ผมมีเพลงนี้ฝังอยู่ในสมองและจิตใจ โดยไม่เคยลืมเลือนไปตามกาล ... สำหรับแรงบันดาลใจ...ที่ทำให้ลูกสาวของผมอยากที่จะเล่นเพลงนี้ให้ได้ ก็คงมาจากช่วงนี้ เธอได้ฟังเพลงนี้บ่อย ดังนั้น ช่วงไหนมีเวลา ผมก็เป่าขลุ่ยไทย ส่วนลูกสาวก็เป่าขลุ่ยฝรั่ง...เสียงตีกันให้วุ่นวายไปทั้งบ้าน แต่ผมกลับมีความสุขมาก ที่ว่ามีความสุข ก็เพราะลูกสาวผมตั้งใจเหลือเกิน ที่จะเล่นเพลงนี้ให้ได้แบบจริงๆ จังๆ สารภาพว่า ผมเองแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่า วันที่เราสองพ่อลูกเล่นเพลงนี้ได้ดี...เราก็คงจะบันทึกเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ เป็นแน่ ... สำหรับช่วงเ...

Post#4-046: แบ่งสรรชีวิต

Post#4-046: เช้านี้ผมอาศัย Taxi เพื่อไปทานข้าวเที่ยงกับครอบครัวที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง หลังลงจากรถ ผมต้องเดินอีกเล็กน้อยเพื่อจะข้ามสะพานไปอีกฟากถนน..อารามที่มัวแต่รีบร้อน เพราะมาล่ากว่าเวลานัดไปมาก ผมก็เลยรีบจ้ำอ้าว และก็ด้วยเพราะมัวแต่มองไปข้างหน้า ก็เลยทำให้เดินสะดุดพื้นที่ไม่เสมอกัน จนเกือบจะหัวคะมำ... เคราะห์ดีที่ไม่ถึงกับล้ม...เลยรอดพ้นจากการเจ็บตัวและขายขี้หน้าไปได้ ... จะว่าไป เราต่างก็พบเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ไม่น้อยเลยในชีวิตจริง ไม่เรามัวแต่มองไปข้างหน้า แล้วทำให้ละเลยปัจจุบัน...เราก็มัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน จนลืมที่จะมองไปยังอนาคต บางคนก็ซ้ำร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะมัวแต่เดินเหลียวหลัง ทำให้ปัจจุบันก็แย่ และไม่มีเวลามองไปยังอนาคตเอาเสียเลย รวมความแล้ว หากไม่รู้จักสร้างสมดุลย์ระหว่างอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต...ก็เป็นอันยากเหลือเกิน ที่เราจะมีชีวิตที่มั่นคงได้ ... ไม่เรียนรู้จากเมื่อวาน อาจทำให้วันนี้ผิดพลาดแบบเดิมๆ ไม่วางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ อาจทำให้เราย่ำเท้าอยู่กับที่ มัวแต่จมจ่อมกับอดีต หรือมัวแต่ฝันเฟื่องอยู่กับอนาคต ก็จะทำให้เราสูญเสียตัวตนในปัจจ...

Post#4-045: วิธีคิดในแต่ละช่วงอายุ

Post#4-045: หัวค่ำนี้ ผมคุยกับลูกน้องคนหนึ่งถึงวิธีคิดของคนเราในแต่ละช่วงอายุ..ซึ่งผมเดาเอาว่า หลายๆ คนคงเห็นด้วยกับผมไม่น้อย มุมมองของเราต่อเรื่องใดๆ ก็ตาม ขึ้นอยู่กับหลายเหตุ-ปัจจัย...แต่ที่น่าจะมีอิทธิพลที่สุดก็คงจะเป็นกรอบประสบการณ์ที่เรามีต่อเรื่องที่ว่า ถ้าเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องที่เราเคยได้ยิน หรือเคยมีประสบการณ์มาก่อน...ก็มีแนวโน้มที่เรา "อาจจะ" สามารถจัดการกับมันได้ดีขึ้นกว่าเดิม ... แต่ยังไงก็ตาม...การวิเคราะห์กรอบประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา จะต้องแตกต่างกันอย่างค่อนข้างจะแน่นอน ซึ่งมันก็มักจะผันแปรไปตามอายุที่มากขึ้น เรียกว่า ยิ่งแก่ตัวก็จะยิ่งมีความสุขุมนุ่มลึกในการคิด, วิเคราะห์ และแยกแยะความเป็นมาและความเป็นไปแห่งชีวิต...ว่าอย่างนั้น เรื่องที่เคยโกรธง่าย...เราก็จะโกรธยากขึ้น, เคยโมโหข้ามวันข้ามคืน...ก็จะหายโมโหเร็วขึ้น, เคยหลงไหลได้ปลื้มกับสิ่งใด...ก็รู้ละวางได้โดยไม่ยึดติด, เคยร้องไห้ฟูมฟาย...ก็อาจจะแค่สะอื้นเล็กๆ, ฯลฯ ... ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้หนอ? ผมเองก็ไม่อาจจะชี้ชัดลงไปได้...เหตุเพราะยังมิได้บรรลุถึงแก่นแท้แห่งสัจธรรมอันวิเศษ ได้แต่ตั้งส...

Post#4-044: กัปตัน, ต้นหน และเหล่ากะลาสี

Post#4-044: เช้านี้ผมมีนัดประชุมกับคู่ค้ารายหนึ่งเพื่อหารือกันถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับปีหน้า ว่าอันที่จริง...มาคุยกันเอาป่านนี้ ก็เกือบจะเรียกได้ว่าสายไปเล็กน้อยแล้ว เพราะหลายเรื่องมากสิ่งจำต้องใช้เวลาเตรียมการกันมากสักหน่อย ส่วนใหญ่แล้ว องค์กรระดับชั้นนำทั้งหลาย มักจะวางแผนปีหน้าเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนแล้ว ... การกำหนดทิศทางให้ชัดเจนนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกๆ ธุรกิจ...เพราะเมื่อเรารู้ชัดว่าจะตั้งหางเสือไปไหน ก็จะทำให้รู้ชัดเช่นกัน ว่าจะต้องเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง ในทางธุรกิจ เราก็มักจะคุยกันว่า ปีหน้า Growth Strategy คืออะไร หมายความว่า ปีหน้ามีแผนจะทำให้ธุรกิจเติบโตไปในทิศทางไหน นั่นเอง ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มักจะเป็นเรื่องที่คนทำงานอาจจะสูญเสียทิศทางไปในระหว่างทำงานได้ง่าย นั่นคือ ทุกคนรู้ว่าต้องทำงาน แต่มักลืมไปหรือหลงไปว่า ที่กำลังทำงานอยู่นั้น อยู่บนทิศทางและเส้นทางที่องค์กรมุ่งหวังไว้หรือไม่? ... ดังนั้น ทั้งนายและลูกน้องจึงต้องมีการทบทวนกันเป็นระยะ ว่าตกลงตอนนี้ทั้งสองฝ่ายกำลังทำงานไปในแนวทางที่สอดรับกันรึเปล่า? มากครั้งที่ล...

Post#4-043: เก่งจริง...รอดคนเดียวได้ทุกครั้ง

Post#4-043: น้าสาวของผมคนหนึ่ง...ถือเป็นหน้าที่ของตัวเธอเลยว่า ทุกครั้งถ้าต้องโดยสารรถเพื่อเดินทางเป็นระยะทางไกลๆ ไม่ว่าใครจะเป็นคนขับก็แล้วแต่ เธอจะคอยชวนผู้ขับรถคุยไปตลอดทาง ไม่ว่าจะง่วงหรือเพลียแค่ไหนก็แล้วแต่...เธอก็ไม่เคยละเลยที่จะปฏิบัติแบบนี้ แน่นอนว่า...นี่คือหนึ่งในวิธีป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ได้อย่างค่อนข้างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง เพราะการพูดคุยกันนั้น สามารถทำให้เราประเมินได้ว่า สติสัมปชัญญะของผู้ขับขี่ครบถ้วนดีหรือไม่ ถ้าพูดคุยกันรู้เรื่อง ก็แปลได้ว่า ทุกคนบนรถย่อมจะปลอดภัย เพราะผู้ขับขี่นั้น ไม่หลับใน...เราก็เลยจะไม่ต้องมาตายแบบน่าสมเพช ... หันกลับมาพิจารณาเรื่องอื่นๆ ในชีวิตจริงของเรากันบ้างมั๊ยครับ? มีเรื่องใดบ้าง ที่เราสามารถลงมือทำในเชิงป้องกันหรือป้องปรามเหตุน่าสมเพชที่อาจเกิดขึ้นได้? ก็เหมือนกับการโดยสารรถ...โดยมากเรามักจะประมาท ไม่คิดว่าเหตุร้ายจะเกิดขึ้นกับเรา...ด้วยการหาเหตุผลมาบอกตัวเองว่า "ก็คนมันง่วง / ก็คนมันเพลีย / คงไม่เป็นไรหรอก / ฯลฯ" ... สมมติถ้าเรามีอันต้องมาประสบอุบัติเหตุ เพราะยางระเบิด, ถนนลื่น, คันอื่นมาชน, ก...

Post#4-042: เราต่างก็เกิดมาเกื้อหนุนกันและกัน

Post#4-042: เมื่อเช้านี้ ผมเชิญลูกน้องคนหนึ่งมานั่งคุยกัน พร้อมกับหัวหน้างานของเธอ เรื่องของเรื่องเพราะเธอไปยื่นลาออกกับฝ่ายบุคคลฯ โดยที่ไม่ได้แจ้งให้หัวหน้างานของเธอทราบล่วงหน้า ผมทราบเรื่องนี้เข้าก็ไม่สบายใจ เพราะอยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ หากแก้ไขได้ก็จะได้ช่วยกันแก้ไข … หลังจากใช้เวลาพูดคุยกันไม่นาน เธอก็เปิดใจเล่าอย่างหมดเปลือกว่า ที่จริงแล้ว เธอไม่ได้มีปัญหาอะไรกับหัวหน้างานเลย ออกจะสนิทสนมกันดีด้วยซ้ำ แต่เธออยากลาออก เพราะรู้สึกผิด...รู้สึกผิด ที่ไม่สามารถทำงานให้ได้ทันใจของตัวเอง และรู้สึกเกรงใจที่ผลงานของเธอไม่ออกมาชัดเจนเป็นรูปธรรม บางคนฟังแล้ว อาจจะไม่เชื่อหรือคาดไปไม่ถึงกับเหตุผลที่เธอว่า...หากแต่ผมเชื่อว่า เหตุผลที่เธอว่ามาเป็นเรื่องจริง แม้ว่าในเชิงตรรกะ เราอาจจะต้องทำความเข้าใจกับเธอบ้างเล็กน้อยก็ตาม … บางทีเหตุผลของการลาออก...อาจเป็นเรื่องที่ใหญ่สำหรับลูกน้อง แต่เป็นเรื่องที่เราสามารถช่วยเธอได้โดยง่ายดายเหลือเกิน ผมว่า นี่เป็นเรื่องคุ้มค่า หากเราจะลองพูดคุยกันอย่างเปิดอกกับลูกน้อง...ไม่แน่ว่า เราอาจสามารถแก้ปัญหาได้ เพื่อให้ลูก...

Post#4-041: ใครๆ ก็คิดถึงพ่อ

Post#4-041: ช่วงนี้ไม่ว่าใครก็ตาม ต่างก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะทำอะไรต่อมิอะไรทั้งสิ้น...แน่นอนว่า ก็เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงทุกข์ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ผมเองก็เป็น...โดยเฉพาะช่วงที่พอมีเวลาว่างหรืออยู่คนเดียว ใจมันก็คอยแต่จะอาลัยและรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ อยู่เรื่อยไป ยังไงเสีย คนไทยเกือบ 70 ล้านคน รวมทั้งผม...ก็ไม่อาจทำใจให้คลายจากความสูญเสียครั้งนี้ ได้โดยง่าย ... แต่ผมก็อยากจะเตือนตัวเองพร้อมกับคนไทยอีกหลายสิบล้านคน...ที่กำลังอาลัยรักต่อพระองค์ท่าน ...ว่า เราจำต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ถูก ต้องรู้ว่า เศร้าก็เรื่องหนึ่ง และความรับผิดชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง...เอามาปะปนกันแบบยุ่งเหยิงไม่ได้ ต้องรู้ว่า เวลาไหนต้องใช้ดำเนินชีวิต และเวลาไหนที่สามารถใช้รำลึกถึงพระองค์ได้ ... ลองคิดดู ว่าหากทรงทราบว่า คนไทยต่างมัวจมอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ และไม่มีแก่ใจจะทำอะไรเลยน่ะ...พระองค์ท่านจะทรงรู้สึกอย่างไร? เราห้ามตัวเราเองให้ไม่อาลัยต่อพระองค์ไม่ได้...แต่เราจำต้องรู้ว่า เวลาใดที่เราต้องเข้มแข็ง เพื่อทำหน้าที่ของตัวเราเองให้ดี และเวลาใดที่เราสามารถปล่อย...

Post#4-040: รู้อะไรจะเท่ารู้จักคิด

Post#4-040: เที่ยงนี้ ผมและครอบครัวมีนัดทานข้าวกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อพี่ N นะครับ) ซึ่งท่านให้ความรักและเอ็นดูกับลูกสาวของผมมากเหลือเกิน มื้อนี้ถือเป็นการฉลองวันเกิดย้อนหลังให้กับลูกสาวของผม ซึ่งพี่ N ก็จัดให้ทุกปี ตั้งแต่ลูกสาวผมอายุได้ 4 ขวบ ผมและภรรยาจึงรู้สึกเป็นหนี้ของความรักและเอ็นดูของพี่ N ที่มีให้กับลูกสาวของผมแบบมิรู้ลืม ... ช่วงท้ายของมื้ออาหาร...ก็มีการเป่าเทียนวันเกิดกันตามธรรมเนียม และพี่ N ก็กรุณาให้พรให้เป็นเด็กรู้จักคิด และสั่งสอนลูกสาวผมว่า "ไม่ว่าจะลงมือทำอะไรก็ตามแต่ จงคิด...คิด...และคิด ก่อนที่จะทำ" นอกจากนั้น พี่ N ก็เล่าต่อว่า "สมัยพี่เป็นเด็ก อายุประมาณ 14 ปี...ก็ต้องจากพ่อและแม่ไปเรียนต่างประเทศ..." "ก่อนจะไป คุณพ่อสอนว่า ก่อนจะทำอะไร ให้เอากระดาษมาหนึ่งแผ่น แล้วก็แบ่งกระดาษเป็นสองข้าง...ข้างหนึ่งเขียนข้อดี และอีกข้างหนึ่งเขียนข้อเสีย" พี่ N บอกว่า การทำแบบนี้ จะทำให้เราได้คิด ไตร่ตรอง และเปรียบเทียบความคุ้มค่าว่าเรื่องนั้นๆ เราควรจะทำมันลงไปหรือไม่ ... ถ้าเราไม่โกหกหรือเข้าข้างตัวเอง...การรู้จักไตร่ตร...

Post#4-039: พระผู้ทรงเป็น "รอยยิ้ม" แห่งราชันย์

Post#4-039: "หลังพ่อจากไป...แม่จะเศร้าขนาดไหนกันนะ?" ...ระหว่างที่ติดตามข่าวผ่าน News Feed และได้ไปเห็นพระฉายาลักษณ์ที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ ซึ่งทรงประทับอยู่บนรถยนต์พระที่นั่ง กำลังทรงโบกพระหัตถ์ให้กับปวงราษฎรที่มาเข้าเฝ้าฯ ส่งขบวนพระบรมศพ แล้วจู่ๆ คำถามที่ว่านี้ ก็แว่บขึ้นมา! ... ในฐานะพระบรมราชินีนารถ แน่นอนว่าพระองค์ต้องทรงกำลังโศกเศร้า เพราะทรงเสียพระสวามีไป และในฐานะคนไทย ก็ทรงสูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักไป เฉกเช่นคนไทยทั้งแผ่นดิน แต่ด้วยพระสถานภาพแห่งองค์แม่หลวงของปวงชน...พระองค์จึงมิอาจปล่อยให้ความเศร้าโศกเกาะกุมพระทัย จนมิอาจทำหน้าที่ "แม่ของแผ่นดิน" ได้ และนั่นคือ หนึ่งใน "ความเสียสละ" ครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ที่แม่ได้ทำให้แก่ลูกๆ ชาวไทยทุกผองชน ... ลองคิดดูว่า หากแม่แสดงความอ่อนแอให้พวกเราเห็น...กำลังใจของพวกเราคงจะยิ่งหดหายไปมากกว่านี้เป็นแน่ แต่เพราะทรงดำรงความเข้มแข็งให้ปวงชนชาวไทยได้ประจักษ์แบบนี้...พวกเราจึงได้รับรู้แล้วว่า แท้จริง "จิตวิญญาณ" ของพ่อ ก็ยังคงอยู่กับเรา โดยมีแม่เป็นผู้ถ่ายทอดออกมานั้นเอง ยั...

Post#4-038: ชีวิตหลังขาดพ่อ

Post#4-038: ค่ำวานนี้ ทันทีที่ผมถึงบ้าน เปิดประตูเข้าไปก็พบทุกคนในครอบครัวนั่งทอดอาลัยตาแดงกล่ำรออยู่แล้ว เราทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออก ได้แต่สะอื้นร่ำไห้...ไม่เว้นแม้แต่ลูกสาวของผม ที่แม้จะอายุน้อย แต่ก็รับรู้ถึงข่าวร้ายของชาวไทยทุกคน หลังทานข้าวเสร็จ...ลูกสาวผมเป็นคนชวนทุกคนเข้าห้องพระ...สวดมนต์เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ ... และเมื่อคืนนี้ ก็เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่ผมเข้านอนทั้งน้ำตานองหน้า และไม่รู้ว่าจะหยุดน้ำตาได้อย่างไร? ผมนอนหลับๆ ตื่นๆ...หลับก็อยู่ในห้วงฝันร้าย...สะดุ้งตื่นขึ้นมาก็เจอความจริงที่โหดร้ายยิ่งกว่า...สลับไปสลับมาจนสว่างคาตา แน่นอนว่า คนไทยอีกเกือบ 70 ล้านคน ก็คงไม่ต่างไปจากผมสักเท่าไรนัก...รู้สึกเคว้งคว้าง, ขาดหลักชัย และมองไม่เห็นอนาคตข้างหน้า ... ตั้งแต่หลังข่าวในหลวงเสด็จสู่สวรรคาลัยเมื่อค่ำวาน...ผมก็ได้รับคำปลอบใจจากเพื่อนชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก จนวันนี้มาทำงานต่างบ้านต่างเมือง...ไม่ว่าใครถามถึงในหลวง ผมก็ไม่อาจจะกลั้นสะอื้นได้...กลายเป็นคนบ่อน้ำตาตื้น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ...

Post#4-037: อาลัยองค์ราชัน

Post#4-037: ผมเชื่อว่าคนไทยเกือบทุกคนคงเป็นเหมือนผม...นั่นคือตั้งแต่จำความได้ เราก็รักในหลวงอย่างสุดหัวใจอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อเติบโตขึ้น ได้รับรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระราชกรณียกิจที่ทรงมีและทรงทำให้กับพสกนิกรชาวไทยด้วยแล้ว...เราทุกคนจึงยิ่งรักและเทิดทูนพระองค์มากเป็นเท่าทวี และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำไมเราจึงรู้สึกเต็มตื้นและน้ำตารื้นทุกครั้ง ที่ได้ยินเสียงหรือได้เปล่งเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีมหาราชา ... ในช่วงหลายปีหลังๆ มานี้...เราทุกคนทราบและติดตามข่าวที่พระองค์ทรงประชวร เข้าและออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง เราต่างก็ต่างเฝ้าวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้โปรดอำนวยพรให้พระองค์หายจากอาการประชวรโดยเร็ว...แม้จะแลกกับการที่เราต้องอายุขัยสั้นลง เราก็ยอม แต่คงเป็นเพราะพระองค์ทรงกรำงานนานหนักเพื่อปวงชนชาวไทยมานานเหลือเกิน...พระองค์จึงต้องเสด็จสู่สวรรคาลัยไปเร็วเกินกว่าเราจะทำใจยอมรับสัจธรรมนี้ได้ ... หากเราจะนึกถึงพระองค์ในฐานะ "มนุษย์" คนหนึ่ง...เราคงไม่อาจหาใครที่จะเสียสละและตรากตรำทำงานหนักเพื่อผู้อื่นได้เท่าพระองค์ท่าน และไม่ใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่รวมไป...

Post#4-036: Galaxy Note 7

Post#4-036: ผมพึ่งทราบข่าวว่า เมื่อเช้านี้เอง ทาง Samsung ประกาศยกเลิกขาย Galaxy Note 7 ทั่วโลก อย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนในประเทศไทย ก็มีการออกจดหมายชี้แจง พร้อมมาตรการในการเยียวยาผู้ที่สั่งจองล่วงหน้าออกมาแล้วเช่นกัน ไม่รู้สิครับ ผมมองว่า Samsung ตัดสินใจไม่ผิดที่ใช้กลยุทธ์ยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แบบนี้ ... ปกติ เที่ยวบินไหนที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ทางเจ้าของสายการบิน ก็จะทำการยกเลิกหมายเลขเที่ยวบินนั้นทันที ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องรู้สึกวิตกกังวล เพราะสะกิดใจกับเรื่องร้ายๆ ที่เคยเกิดขึ้น...แม้ลูกค้าจะจำชื่อสายการบินได้ แต่ส่วนใหญ่จะรู้จักแยกแยะว่า ยังไงก็ไม่ใช่ลำเดิม เหมือนๆ กับแม้จะนามสกุลเดียวกัน แต่ก็เป็นคนละคนอยู่ดี ... การยกเลิก Galaxy Note 7 ครั้งนี้ แม้จะสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับ Samsung...แต่ก็ถือเป็นการสกัดไม่ให้ Brand Confidence ต้องเสียหายจนเกินจะกู้กลับมาไหว Brand Value ของ Samsung ที่ผ่านการบ่มเพาะและทุ่มเทสร้างมาอย่างยาวนั้น มีค่ามากกว่า Galaxy Note 7 เพียงรุ่นเดียว อย่างเทียบกันไม่ได้ อย่าลืมว่า Samsung นั้น ก็ถือเป็น Global Brand ที...

Post#4-035: Braveheart

Post#4-035: เคยได้ยินประโยคต่อไปนี้บ้างมั๊ยครับ... "Everyone dies, but not everyone lives." แปลได้ว่า "ทุกๆ คนล้วนต้องตาย, แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีชีวิตอย่างแท้จริง" ... แน่นอนว่า คนเราเกิดมาล้วนต้องตายในวันหนึ่ง...เป็นความจริงแท้ที่ใครก็ไม่อาจหลีกลี้หนีพ้นไปได้ แต่ระหว่างเส้นทางไปสู่ความตายนั้นต่างหาก...ที่จะเป็นบทสรุปว่า เราได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรค่าแก่การเกิดมาหรือไม่? บางคนเกิดมารกโลก, บางคนเกิดมาเพื่อลาจากโลก แต่ก็มีบางคนที่ลาจากโลกไปแต่เพียงสังขาร ส่วนความดียังเป็นที่กล่าวขานนับเป็นร้อยเป็นพันปี ... ใช่ครับ...ทุกคนล้วนต้องตาย...แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ใช้ชีวิตโดยไม่เสียชาติเกิด การจะบอกว่าใครตายโดยไม่เสียชาติเกิดหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ว่า ขณะที่เค้ามีชีวิตอยู่นั้น เค้าได้ทำประโยชน์ใดๆ ให้ใครคนอื่น...นอกเหนือไปจากตัวเองหรือไม่ ไม่จำเป็นหรอกครับ...ที่เราจะต้องตายเยี่ยงวีรบุรุษหรือวีรสตรี เพราะเพียงแค่คุณจากโลกนี้ไป โดยมีใครบางคนจดจำเรื่องราวดีๆ บางเรื่องที่คุณฝากไว้บนโลกนี้ได้... แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความดีๆ เล็กๆ ก็ตาม...ผมว่ามันก็เพียงพอแล้ว ที่จะบอก...

Post#4-034: อดเปรี้ยวไว้กิน...?

Post#4-034: ใครที่เป็นคนไทย น่าจะเคยได้ยินสำนวน "อดเปรี้ยวไว้กินหวาน" กันมาบ้างนะครับ และในชีวิตจริง...เราก็มักจะเจอะเจอเหตุการณ์วัดใจแบบนี้กันบ่อยๆ เสียด้วย คำถามก็คือ เมื่อไหร่คือเวลาอันเหมาะสมที่จะเด็ดดอกผลจากการทำงานมากิน หรือจะรอต่อไปอีกหน่อยดี? เมื่อไหร่ควรจะขายหุ้นดี กำไรนิดหน่อยแล้วนะ...รอพรุ่งนี้ราคาจะขึ้นอีกมั๊ย หรือราคาจะลดลง? เลือกทำงานกับบริษัทนี้ดีมั๊ย...แต่บริษัทที่อยากทำ อาจจะกำลังจะเรียกเราสัมภาษณ์มั๊ยนะ? จะเห็นได้ว่า คำถามเหล่านี้ มักจะเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นล่ะครับ ... แล้วตกลง เราจะตัดสินใจเดี๋ยวนี้ หรือรอต่อไปดีล่ะ? คำตอบก็ขึ้นอยู่กับว่า ถ้าตัดสินใจตอนนี้ แล้ว จะทำให้ทางเลือกในอนาคตหายไปหรือไม่? เช่น ถ้าเลือกขายหุ้นวันนี้ โดยได้กำไรตามเป้าหมายที่ต้องการแล้ว ก็อย่าลังเล...ขายเลย แล้วถ้าหุ้นที่ขายไปยังมีแนวโน้มดี จะลงทุนใหม่ก็ค่อยว่ากัน หรือถ้าตัดสินใจรับงานนี้แล้ว ถ้าบริษัทที่อยากทำงานด้วย เรียกสัมภาษณ์...เราก็ไปอีกรอบก็ได้ อาจจะผิดมารยาทมากอยู่...แต่ของแบบนี้ มันก็อยู่ที่สามัญสำนึกของแต่ละคนล่ะครับ ... ยังไงก็แล้...

Post#4-033: ไม่รู้ว่าคิดผิด vs คิดว่าไม่ผิด

Post#4-033: รบกวนช่วยกันคิดหน่อยเถอะครับ ระหว่างคนที่ไม่รู้เอาจริงๆ ว่าสิ่งที่ตนคิดและกำลังทำ เป็นสิ่งที่ผิด (แบบ A) กับคนที่รู้ตัวเองว่าตนกำลังคิดและทำอะไร แต่ไม่รู้สึกว่ามันผิด (แบบ B) ถามว่าใครเป็นคนที่แย่กว่ากันครับ? ... เอาจริงๆ ผมว่ายากมากที่จะฟันธง...แต่สำหรับผมแล้ว คนที่เป็นแบบ B นั้น คุยด้วยยากที่สุดครับ ลงว่าถ้าเค้ารู้ตัวว่ากำลังคิดและทำอะไรอยู่ แต่ไม่ได้รู้สึกเลยว่าสิ่งที่เค้ากำลังคิดและทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ผิด นั่นย่อมหมายความว่า เค้าได้กำหนด "ทัศนคติ" ที่เค้ามีต่อเรื่องนั้นๆ ไปเรียบร้อยแล้ว แปลว่า การที่เค้าจะยอมเปลี่ยน "ความเชื่อ" หรือ "ทัศนคติ" ของตนเองนั้น ถือเป็นการยอมรับกลายๆ ว่า เค้า "ผิด" ไปเสียแล้ว ... หลายครั้งมากหน ที่เราต่างก็ดันทุรังคิดและทำผิดๆ ต่อไป เพียงเพราะเหตุผลแค่ว่า "กลัวเสียหน้า" เท่านั้นเอง เราต่างรู้ทั้งรู้ว่า ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด...แต่มีผู้คนน้อยกว่าน้อย ที่ยอมยืดอกยอมรับว่าเค้าคิดและทำผิดไปเสียแล้ว ...ยอมรับว่าตัวเองผิด อย่างมากก็แค่เสียหน้า...ดีกว่าตะแบงทำต่อไป แล้วต้องมาคอยแ...

Post#4-032: รอรับกระเป๋า

Post#4-032: ระหว่างรอรับกระเป๋าที่สนามบินช่วงเที่ยงที่ผ่านมานี้เองครับ...ผมก็ได้ยินเสียงหญิงชาวต่างชาติวัยกลางคนท่านหนึ่ง กำลังโวยวายเสียงดังอยู่ แม้จะไม่อยากสอดรู้ แต่หูเจ้ากรรมก็ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เพราะเสียงเธอดังเกินกว่า 120 เดซิเบล แน่ๆ เรื่องของเรื่องก็คือ เธอรอกระเป๋านานมาก แล้วกระเป๋ามันก็ยังไม่มาเสียที...จนเธอไปเหวี่ยงใส่เจ้าหน้าที่ ที่ "โชคดี" เดินผ่านมาพอดี ... หลังจากเจ้าหน้าที่ปล่อยให้เธอบ่นอยู่สักครู่ ก็สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย ซึ่งคุณเธอก็ยังไม่มีทีท่าจะลดเสียงลงเลยแม้แต่น้อย...ผู้คนรายรอบต่างก็ไม่ชอบใจ เพราะรำคาญเสียงคุณเธอกันทั้งนั้น ระหว่างนั้นกระเป๋าก็ทยอยออกมาเรื่อยๆ แต่หลังจากรออีกสักพัก สัมภาระของคุณเธอก็ยังไม่มา ...ท้ายสุด เจ้าหน้าที่ก็ขอดู Tag กระเป๋าจากคุณเธอ...แล้วก็เลยมาถึงบางอ้อ ครับ...อย่างที่คุณกำลังนึกเอะใจเลย...คุณเธอมายืนรอผิดสายพาน (Couresel) นั่นเอง -"- ... นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ "ความโกรธบังตา"...เมื่อโทสะครอบงำจิต ก็ทำให้สติตกลงสู่โมหะ...หลงวนเวียนไม่จบสิ้น ดีที่นี่เป็นแค่เรื่องการรอกระเป๋า.....

Post#4-031: เลือกอะไร?

Post#4-031: "ระหว่างศักดิ์ศรีกับเงิน" คุณเลือกอะไร? ในช่วงชีวิตหนึ่ง ผมค่อนข้างมั่นใจว่า เราต่างก็น่าจะต้องตั้งคำถามนี้กับตัวเองอย่างน้อยสักครั้ง เชื่อได้ว่า เวลาตั้งคำถามตัวเองในขณะที่ไม่ได้เจอสถานการณ์บีบคั้นให้ต้องเลือกจริงๆ นั้น...ผู้คนส่วนใหญ่จะตอบว่า "เลือกศักดิ์ศรี" ... แต่เราแน่ใจแล้วใช่มั๊ย? ว่าเราให้นิยามของคำว่า "ศักดิ์ศรี" ได้ถูกต้องแล้วจริงๆ? การที่เราต้องบากหน้าไปของานใครทำ กับการงอมืองอเท้าขอเงินพ่อแม่ไปวันๆ...อะไรคือเรื่องที่ต้อง "เสียศักดิ์ศรี" กันแน่? แต่เอาล่ะ...เราอาจจะนิยามคำว่า "ศักดิ์ศรี" ไว้แตกต่างกันสุดขั้วก็เป็นได้ ... สำหรับผมแล้ว...การเสียจุดยืนของ Pride กับการดื้อดึงยึดกับ Ego นั้น เป็นอะไรที่คล้ายกันมาก ยังไงก็แล้วแต่ เราคงต้องเตือนตัวเองให้ระวังตนให้ดี..อย่าให้ Pride กลายพันธุ์ไปเป็น Ego และมันจะกลายพันธุ์ทันทีที่ตรรกะ (Logic) ของเราเพี้ยน...นั่นคือไม่ได้กำหนด "จุดยืน" ของตนอย่างเป็นเหตุและเป็นผล ...เมื่อเหตุผลป่วย...Pride ก็จะถูก "อารมณ์"  ชักพาไปสู่หนทางมืดของ ...

Post#4-030: ความรัก vs Business Deal

Post#4-030: เมื่อเช้านี้เอง...ผมได้ประชุมกับ Vendor รายหนึ่ง แล้วผมถามเค้าว่า You มีวิธีคัดเลือก Distributor ยังไง? คำตอบนั้นน่าสนใจครับ...เพราะเค้าบอกผมว่า นอกเหนือไปจากมีเงินทุนและแผนการตลาดที่ดีแล้ว สำคัญอย่างยิ่งว่า คุณมี passion สำหรับ Brand ของเค้าแค่ไหน? ส่วนมากแล้ว ชาว Europe และ USA ต่างก็ให้ความสำคัญกับ การที่ต้องการจะรู้ว่า เรามี "ใจ" อยากจะทำงานกับเค้าจริงมั๊ย? ... ว่าอันที่จริง เกณฑ์ที่ฝรั่งใช้คัดเลือกคนที่จะมาทำงานกับเค้านั้น ก็ควรจะเป็นเกณฑ์เดียวกับที่ Brand Owner หรือ Master Franchise ในบ้านเรา นำใช้คัดเลือกคนที่จะมาเป็น Licensee หรือ Franchisee ด้วยเช่นกัน ผมเองก็ออกจะเห็นด้วยกับฝรั่งมากอยู่ครับ เพราะการมีเงินทุนและแผนการตลาดที่ดีนั้น เพียงพอแค่การทำให้เกิดการทำตลาดและเริ่มต้นค้าขาย แต่การจะทำให้ธุรกิจอยู่รอดและ Brand ได้เติบโตอย่างยั่งยืนนั้น หากขาด Passion หรือ "ใจ" ที่จะทำ...ย่อมไม่มีทางสำเร็จ ... การที่ Brand Owner จะเลือกใคร ก็คงเปรียบเสมือนหญิงงามที่มีชายหนุ่มมากหน้าหลายตามารายล้อม หญิงงามที่ฉลาดคงไม่เลือกผู้ชายแค่มีเงินและม...

Post#4-029: ชีวิตเป็นของเราจริงหรือ?

Post#4-029: ช่วง 2-3 วันมานี้ ชีวิตผมค่อนข้างวุ่นๆ วายๆ กับการต้องประชุมกับ Vendor มากหน้าหลายตา ทั้งรายเดิมและรายใหม่ แต่ทว่า มันเป็นความวุ่นๆ วายๆ ที่ผมค่อนข้างจะมีความสุขกับมัน...ด้วยเพราะมันทำให้สมองผมได้ทำงาน คิดนั่น นู่น นี่ เพื่อให้ผลลัพธ์ ออกมาดี ผมอาจจะเป็นโรคจิตเล็กๆ ที่รู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่า เมื่อได้ทำงาน...และจะรู้สึกไม่ค่อย ok ถ้าชีวิตต้องว่างจนเกินไป ^^ แต่ผมรู้ชัดเจนว่า ผมกำลังเหนื่อยไปเพื่อใคร และเพื่ออะไร! ... ยังไงก็ตาม แต่ละคนต่างมีความสุขกับวิถีชีวิตของตนเอง...ทางใครก็ทางมัน ต้องว่าอย่างนั้น ไม่ผิดถ้าเราจะแค่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน...ไม่ผิดถ้าเราจะคิดแค่วันนี้ โดยไม่สนใจอดีต และไม่นำพาต่ออนาคต...และไม่ผิดถ้าเราจะจมปลักอยู่ในอดีตหรือมัวเพ้อหาแต่อนาคต จนละเลยปัจจุบัน ...ตราบเท่าที่มันไม่ได้ทำให้ตัวเราเองและคนรอบข้างเดือดร้อนไปด้วย ... จริงๆ แล้ว ผมชวนคุยเรื่องนี้ เพราะจู่ๆ คำถามที่ว่า "ชีวิตเป็นของเราคนเดียวจริงๆ หรือ?" มันแว่บขึ้นมาในหัว และผมก็ว่ามันแล้วแต่มุมมองและวิธีคิดของแต่ละคน...มองในมุมเรา เราอาจจะว่าเค้าใช้ชีวิตผิด แต่มองในมุม...

Post#4-028: ยุ่งยากใจจริงหนอกับ Role Conflict

Post#4-028: คงมีบ้างบางครั้ง ที่เราต้องเจอกับสภาพความขัดแย้งของบทบาท หรือที่เราเรียกว่า Role Conflict ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นคุณเป็นตำรวจ แต่ไปพบว่าลูกของตัวเองกำลังทำเรื่องผิดกฎหมายอยู่...ถามว่า คุณจะเลือกปกป้องลูกในฐานะพ่อ หรือเลือกจับคนทำผิดกฎหมายในฐานะตำรวจ? เอาตัวอย่างที่ตัดสินใจยากขึ้นอีกนิด...ถ้าคุณเป็นครู แล้วให้บังเอิญได้สอนลูกตัวเอง ถามว่า เมื่อใกล้สอบคุณจะติวพิเศษให้ลูกในฐานะแม่ หรือจะแนะแนวเค้าในฐานะครู หรือจะปล่อยให้เค้าอ่านหนังสือเอง เพราะกลัวคำครหา? ... เรื่อง Role Conflict นี้ จึงเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นกับเราได้บ่อย เกือบจะเป็นเรื่องทุกเมื่อเชื่อวัน ความจริงแล้ว เรื่องจะไม่ยุ่งเลย ถ้าคุณบอกตัวเองได้แน่ชัดว่า คุณกำลังเล่นบทบาทอะไรอยู่ ...แม้กระนั้น ความจริงกับความรู้สึก มันก็ช่างเป็นเรื่องที่ทำร้ายความรู้สึกได้อย่างเหลือแสน ... บ่อยครั้งคนเป็นตำรวจจึงรู้สึกว่า เราเป็นพ่อที่กำลังจะจับลูกตัวเอง ไม่ได้รู้สึกว่า ที่ถูกแล้ว หน้าที่ตำรวจก็ต้องจับผู้ร้าย ส่วนหน้าที่พ่อน่ะ ต้องไปประกันตัวลูกออกมาสู้คดี ผมบอกได้แค่ว่า การเลือกเป็นตำรวจที่บกพร่องในหน้าที่ ไม่ไ...

Post#4-027: TFWA

Post#4-027: ผมพบตัวเองย่ำต๊อกอยู่ที่สนามบินเมืองนีซ (Nice) ของประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายต้นๆ ของวันวานนี้เองครับ ถ้าไม่รู้จักเมืองนี้...งั้นเคยได้ยินเทศกาลหนังเมืองคานส์ (Cannes) มั๊ยครับ?...Nice นั้นห่างจาก Cannes ประมาณแค่ 34 ก.ม. เท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้จะมา Nice แต่ตั้งใจจะไปที่ Cannes เพื่อมาทำงาน...หากแต่ต้องบินมาลงที่สนามบินนี้ เพื่อต่อรถไปที่ Cannes อีกที ... กลับมาคราวนี้ ห่างจากครั้งสุดท้ายที่ผมมาเยือน Cannes ก็ประมาณ 11-12 ปีที่แล้ว เลยทีเดียว...ก็นับว่านานมาก จนผมรู้สึกเหมือนมา Cannes ครั้งแรกเลยก็ว่าได้ จุดประสงค์ของการมา Cannes ครั้งนี้ ก็เพื่อจะมาร่วมงาน TFWA ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี...ซึ่งเมื่อ พ.ค. ที่ผ่านมา ผมก็ไปร่วมงานนี้ที่ Singapore...ส่วนปลายปีจะจัดที่ Cannes ส่วนสถานที่จัดงานก็คือที่เดียวกับที่จัดเทศกาลหนังเมืองคานส์ นั่นเลยครับ...ถือโอกาสได้จินตนาการว่าได้เดินพรมแดงโดยไม่ต้องเป็นเซเลบฯ...ว่าอย่างนั้น ^^ ... งานนี้ถือเป็นงานใหญ่ที่รวบรวมเอา Exhibitor และ Buyer จากทั่วโลกมาพบปะและเจรจาธุรกิจกัน ใครมีสินค้าใหม่ๆ หรือมองหาสินค้...

Post#4-026: ฉันก็สู้คน

Post#4-026: ผมเชื่อว่า คงมีหลายๆ ครั้ง ที่เราจำต้องร่วมทีมทำงานกับคนบางคนที่มีความพิเศษในทางลบ น่าเสียใจที่ต้องบอกว่า เรามักพบเจอคนกลุ่มนี้อยู่ในทุกช่วงอายุและในทุกๆ อาชีพ ตั้งแต่เด็ก เราก็อาจจะถูกเด็กเกเรบางคนกลั่นแกล้ง...และโตขึ้นมาหน่อย เราอาจต้องทำงานอยู่กับพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ หรือหนักไปกว่านั้น ก็อาจต้องทำงานกับพวกจ้องจะขโมยผลงาน รวมความแล้ว เราไม่อาจหลีกหนีจากคนกลุ่มนี้ไปได้เลย...อาจได้เจอหรืออาจได้รับเคราะห์จากพวกเค้า ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และไม่วันใดก็วันหนึ่ง ... ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเจอกับคนกลุ่มนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...ยิ่งทำธุรกิจหลากหลายก็ยิ่งมีโอกาสเจอคนกลุ่มนี้ บ่อยกว่าคนอื่น แต่ยิ่งทำงานกับคนกลุ่มนี้บ่อยเข้า...ก็ยิ่งทำให้ผมเข้าใจธรรมะบางอย่าง...เป็นธรรมะที่ผมเข้าใจว่าใกล้เคียงกับ "ขันติ" และ "อหิงสา" เหมือนพระเจ้ากำลังต้องการทดสอบความอดทนและกระซิบบอกเราว่า ก้าวผ่านคนกลุ่มนี้ไปให้ได้...แล้วเจ้าจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น ประมาณนั้น ไม่รู้ทำไม เหตุการณ์ที่ต้องสู้รบปรบมือกับคนกลุ่มนี้ ทำให้ผมนึกไปถึงหนังจีนกำลังภายใน...เอาเสียหน่อยละก...

Post#4-025: วิธีการของบริษัทข้ามชาติ

Post#4-025: เมื่อวานนี้ หลังประชุมเสร็จ ผมเหลือเวลาอยู่พอควรก่อนต้องไปสนามบิน...จึงไม่พลาดที่จะต้องไปสำรวจร้านในดวงใจอย่าง Apple Store สาขาที่ผมไปอยู่ที่ Tsim Sha Tsui บน Canton Road ตรงข้ามกับ Harbour City ที่คนไทยเราชอบไปช้อปปิ้งกันนั่นเองครับ อย่างเมื่อวานนี้ ผมเจอคนไทยแทบจะทุกหัวถนนก็ว่าได้...คิดว่าเรื่อง shopping นั้น ก็คงเป็นอีกเรื่องที่ชาวไทยคงไม่แพ้ใครๆ ในโลก กระมัง? ... เทียบกับที่ USA แล้ว ผมต้องบอกว่าทั้งหน้าตาและการจัดการโดยรวมแทบจะไม่ต่างกันเลย...ที่ทำให้รู้ว่าอยู่ในฮ่องกงไม่ใช่ USA ก็คือ Staff ที่มีแต่อาตี๋กับอาหมวย...แค่นั้น และตลาดฮ่องกงน่าจะใหญ่และมีศักยภาพมากพอที่ทาง Apple จะให้ความสำคัญในระดับที่ต้องมี Apple Store เอง โดยไม่ผ่าน AAR หรือ APR แบบในประเทศไทย ได้ข่าวแว่วๆ มา ว่า ทาง Apple กำลังมองๆ หาที่เปิด Apple Store ในกรุงเทพฯ อยู่เหมือนกัน...และเมื่อไหร่ที่มาเปิดจริงๆ ก็น่าจะส่งผลกระทบไปยังบรรดา AAR และ APR เป็นอย่างมากแน่ๆ ... จะว่าไป Business Model ของบริษัทข้ามชาตินั้น กว่า 30 ปีที่ผ่านมา ก็ยังคง pattern ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก คือมักเ...