Skip to main content

Post#4-041: ใครๆ ก็คิดถึงพ่อ

Post#4-041:
ช่วงนี้ไม่ว่าใครก็ตาม ต่างก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะทำอะไรต่อมิอะไรทั้งสิ้น...แน่นอนว่า ก็เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงทุกข์ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

ผมเองก็เป็น...โดยเฉพาะช่วงที่พอมีเวลาว่างหรืออยู่คนเดียว ใจมันก็คอยแต่จะอาลัยและรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ อยู่เรื่อยไป

ยังไงเสีย คนไทยเกือบ 70 ล้านคน รวมทั้งผม...ก็ไม่อาจทำใจให้คลายจากความสูญเสียครั้งนี้ ได้โดยง่าย

...

แต่ผมก็อยากจะเตือนตัวเองพร้อมกับคนไทยอีกหลายสิบล้านคน...ที่กำลังอาลัยรักต่อพระองค์ท่าน

...ว่า เราจำต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ถูก ต้องรู้ว่า เศร้าก็เรื่องหนึ่ง และความรับผิดชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง...เอามาปะปนกันแบบยุ่งเหยิงไม่ได้

ต้องรู้ว่า เวลาไหนต้องใช้ดำเนินชีวิต และเวลาไหนที่สามารถใช้รำลึกถึงพระองค์ได้

...

ลองคิดดู ว่าหากทรงทราบว่า คนไทยต่างมัวจมอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ และไม่มีแก่ใจจะทำอะไรเลยน่ะ...พระองค์ท่านจะทรงรู้สึกอย่างไร?

เราห้ามตัวเราเองให้ไม่อาลัยต่อพระองค์ไม่ได้...แต่เราจำต้องรู้ว่า เวลาใดที่เราต้องเข้มแข็ง เพื่อทำหน้าที่ของตัวเราเองให้ดี และเวลาใดที่เราสามารถปล่อยให้น้ำตาไหล เพื่ออาลัยและรำลึกถึงพระองค์ท่านได้อย่างเต็มที่

ดีแล้วใช่มั๊ย?...ที่มัวแต่จมจ่อมซึมกระทือ แล้วเที่ยวบอกใครต่อใครว่า คิดถึงพระองค์ท่าน จนไม่เป็นอันทำอะไร?

...

ไม่รู้สิครับ...ผมมีความเห็นว่า การที่เรามัวแต่ปล่อยให้ตัวเราจมอยู่ในห้วงทุกข์อยู่ตลอดเวลา นั่นแหละ...ที่เป็นการแสดงออกแบบผิดๆ ว่า "รัก" พ่อ

เพราะถ้า "รัก" พ่อ จริงๆ...เราควรต้องทำตัวให้พ่อ "ภูมิใจ" ไม่ใช่เอาแต่ทำตัวให้พ่อต้องคอย "เป็นห่วง"

หรือมิใช่?

...

ถ้าสมมติว่า ในแต่ละวัน มีคนไทยที่มัวแต่จมจ่อมมัวแต่อมทุกข์สัก 10 ล้านคน...คิดบ้างมั๊ยว่า เรากำลังทำให้พ่อต้องกังวลสักเพียงไหน?

หรือคิดว่าพ่อคงจะยินดี...ที่เห็นเราแสดงความกตัญญูต่อพ่อ ด้วยการร้องไห้โศกาอาดูร อาลัยรักพ่ออยู่ตลอดเวลา จนไม่ทำอะไรเลย?

ถ้าวันหนึ่งคุณมีอันต้องลาจากโลกนี้ไป แล้วลูกคุณก็มัวแต่เศร้าสร้อยฟูมฟายคิดถึงคุณ จนไม่เป็นอันทำอะไรเลย...คุณจะดีใจและภูมิใจ ใช่มั๊ย?

...

ดังนั้น การแสดงความกตัญญูต่อพระองค์ได้เป็นอย่างดีที่สุด...จึงน่าจะเป็นการแสดงให้พระองค์ทรงมั่นใจว่า เราจะมีชีวิตต่อไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง

คิดบ้างมั๊ยครับ? ว่าตลอด 70 ปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงเหนื่อยยากเพื่อคนไทยไปเพื่ออะไร?

...ก็เพื่อให้คนไทยรู้จักใช้ชีวิตได้อย่างเข้มแข็ง โดยไม่ต้องมัวแต่พึ่งพาคนอื่น...ใช่มั๊ยล่ะครับ?

...

ถ้าเรามัวแต่บอกตัวเองว่า ขาดพ่อไปแล้ว เราคงไม่อาจทำอะไรได้...อนาคตของเราคงมืดมิด และวันข้างหน้าของเราจะมีแต่สีดำ...

ก็แปลว่า ทั้งพระบรมราโชวาท, ทั้งโครงการในพระราชดำริต่างๆ รวมไปถึงพระวิริยะอุตสาหะ ที่ทรงสั่งสอนและทรงทำเพื่อคนไทยมาตลอด 70 ปี

...ก็หาได้ส่งผลลัพธ์ตรงตามพระเจตนารมณ์ของพระองค์ ไม่

...

ลองตรองให้ดีเถิดครับ...

ไม่มีใครห้ามเราอาลัยรักและคิดถึงพ่อ แต่ต้องอาลัยและคิดถึงพ่อ ด้วยสติที่รู้เท่าทันความโศกเศร้า

...ดังนี้แล้ว เราจึงจะได้ชื่อว่า เป็นลูกที่ดี ที่ทำให้พ่อได้พักผ่อนโดยไม่มีอะไรให้ต้องกังวล...

#อาลัยกับฟูมฟายนั้นไม่เหมือนกัน #อย่าทำให้พ่อต้องคอยมากังวลกับเรา #พ่อเหนื่อยมานานหนักหนาแล้ว #กตัญญูต่อพ่อด้วยการก้าวต่อไปอย่างเข้มแข็ง #ร้องไห้ถึงพ่อได้แต่ต้องรู้จักเวลา

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...