Post#4-050:
มื้อเย็นที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เจอเพื่อนใหม่ท่านหนึ่ง ผ่านการแนะนำของน้องสาว
เราถกกันหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว...เป็นที่สนุกสนานและได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ที่นำมาแลกเปลี่ยนกัน
ตอนหนึ่งของการสนทนา...เราก็คุยกันถึงเรื่อง การสอนคนในครอบครัว ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่า บ่อยครั้งที่เราจำต้องยืมมือคนนอกมาสอนคนในครอบครัวของเรา
ประมาณว่าคนกันเองคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องอาศัยคุยผ่านคนนอก...ประมาณนี้
ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด...เพราะผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็เจอปัญหาแบบนี้
...
ว่ากันตามจริง...นี่ก็ถือเป็นวิถีทางหนึ่งของการเจรจาต่อรองอยู่เหมือนกัน
ด้วยความที่พี่กับน้อง, พ่อกับลูก หรือแม่กับลูก ต่างก็สนิทกันมากจนเกินไป...ทำให้คำพูดของ "คนใน" กลายเป็นเสียงที่ไปไม่ถึงคนในครอบครัวเดียวกัน
และมากครั้งที่เราต่างก็เขินที่จะแสดงความรักและความห่วงใยให้คนในครอบครัวได้รับทราบแบบตรงๆ
...
จากสาเหตุทั้งสองข้อที่ว่า จึงทำให้การคุยผ่านบุคคลที่สามที่อยู่นอกครอบครัว กลายเป็นทางออกที่ไม่เลว
เช่น พ่อวานให้เพื่อนพ่อสอนงานเรา, เราขอให้เพื่อนของน้อง เตือนน้องแทนเรา หรือแม่ให้เพื่อนแม่สอนเราขับรถ, ฯลฯ
การสอนสั่งหรือสอนงานผ่านบุคคลที่สาม จึงกลายเป็นทางออกที่ทำให้เราลดแรงปะทะอันเกิดจะมีขึ้นได้ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรง
...จึงอาจส่งผลให้เราสามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว (ซึ่งมีความเปราะบางสูง) ไว้ได้ดีขึ้น
ดังนั้น เมื่อมีการเข้ามาของบุคคลที่สามแล้ว จึงแปลว่า ทั้งคนไหว้วาน และคนปลายทาง ต่างก็ต้องยอมถอยให้กันคนละก้าว...อย่ามัวแต่ตั้งแง่ยึดทิฐิแบบไม่เข้าเรื่อง
หาไม่แล้ว ต่างฝ่ายต่างก็จะทำให้บุคคลที่สามอยู่ในภาวะ "เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง ซ้ำร้ายยังเอากระดูกมาแขวนคอ" อีกด้วย
...
อย่างไรก็ตาม เราต่างก็ควรเข้าใจว่า การมีปฏิสัมพันธ์ผ่านบุคคลที่สาม ก็อาจมีความคลาดเคลื่อนในเป้าหมายและเจตนาของแต่ละฝ่ายได้เช่นกัน
...ไหว้วานคนจึงต้องเลือกคนให้เหมาะกับเรื่อง และรับอาสาคนจึงต้องเข้าใจเป้าหมาย...เป็นเช่นนั้นแล...
#สอนคนในครอบครัวต้องระวังความรู้สึก #สอนคนนอกครอบครัวต้องมั่นคงในตรรกะ #รับการสอนสั่งจากคนในต้องมองเจตนา #รับการสอนสั่งผ่านคนนอกต้องจับประเด็นที่แก่นมิใช่กระพี้
มื้อเย็นที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เจอเพื่อนใหม่ท่านหนึ่ง ผ่านการแนะนำของน้องสาว
เราถกกันหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว...เป็นที่สนุกสนานและได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ที่นำมาแลกเปลี่ยนกัน
ตอนหนึ่งของการสนทนา...เราก็คุยกันถึงเรื่อง การสอนคนในครอบครัว ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่า บ่อยครั้งที่เราจำต้องยืมมือคนนอกมาสอนคนในครอบครัวของเรา
ประมาณว่าคนกันเองคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องอาศัยคุยผ่านคนนอก...ประมาณนี้
ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด...เพราะผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็เจอปัญหาแบบนี้
...
ว่ากันตามจริง...นี่ก็ถือเป็นวิถีทางหนึ่งของการเจรจาต่อรองอยู่เหมือนกัน
ด้วยความที่พี่กับน้อง, พ่อกับลูก หรือแม่กับลูก ต่างก็สนิทกันมากจนเกินไป...ทำให้คำพูดของ "คนใน" กลายเป็นเสียงที่ไปไม่ถึงคนในครอบครัวเดียวกัน
และมากครั้งที่เราต่างก็เขินที่จะแสดงความรักและความห่วงใยให้คนในครอบครัวได้รับทราบแบบตรงๆ
...
จากสาเหตุทั้งสองข้อที่ว่า จึงทำให้การคุยผ่านบุคคลที่สามที่อยู่นอกครอบครัว กลายเป็นทางออกที่ไม่เลว
เช่น พ่อวานให้เพื่อนพ่อสอนงานเรา, เราขอให้เพื่อนของน้อง เตือนน้องแทนเรา หรือแม่ให้เพื่อนแม่สอนเราขับรถ, ฯลฯ
การสอนสั่งหรือสอนงานผ่านบุคคลที่สาม จึงกลายเป็นทางออกที่ทำให้เราลดแรงปะทะอันเกิดจะมีขึ้นได้ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรง
...จึงอาจส่งผลให้เราสามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว (ซึ่งมีความเปราะบางสูง) ไว้ได้ดีขึ้น
ดังนั้น เมื่อมีการเข้ามาของบุคคลที่สามแล้ว จึงแปลว่า ทั้งคนไหว้วาน และคนปลายทาง ต่างก็ต้องยอมถอยให้กันคนละก้าว...อย่ามัวแต่ตั้งแง่ยึดทิฐิแบบไม่เข้าเรื่อง
หาไม่แล้ว ต่างฝ่ายต่างก็จะทำให้บุคคลที่สามอยู่ในภาวะ "เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง ซ้ำร้ายยังเอากระดูกมาแขวนคอ" อีกด้วย
...
อย่างไรก็ตาม เราต่างก็ควรเข้าใจว่า การมีปฏิสัมพันธ์ผ่านบุคคลที่สาม ก็อาจมีความคลาดเคลื่อนในเป้าหมายและเจตนาของแต่ละฝ่ายได้เช่นกัน
...ไหว้วานคนจึงต้องเลือกคนให้เหมาะกับเรื่อง และรับอาสาคนจึงต้องเข้าใจเป้าหมาย...เป็นเช่นนั้นแล...
#สอนคนในครอบครัวต้องระวังความรู้สึก #สอนคนนอกครอบครัวต้องมั่นคงในตรรกะ #รับการสอนสั่งจากคนในต้องมองเจตนา #รับการสอนสั่งผ่านคนนอกต้องจับประเด็นที่แก่นมิใช่กระพี้
Comments
Post a Comment