Skip to main content

Post#4-026: ฉันก็สู้คน

Post#4-026:
ผมเชื่อว่า คงมีหลายๆ ครั้ง ที่เราจำต้องร่วมทีมทำงานกับคนบางคนที่มีความพิเศษในทางลบ

น่าเสียใจที่ต้องบอกว่า เรามักพบเจอคนกลุ่มนี้อยู่ในทุกช่วงอายุและในทุกๆ อาชีพ

ตั้งแต่เด็ก เราก็อาจจะถูกเด็กเกเรบางคนกลั่นแกล้ง...และโตขึ้นมาหน่อย เราอาจต้องทำงานอยู่กับพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ หรือหนักไปกว่านั้น ก็อาจต้องทำงานกับพวกจ้องจะขโมยผลงาน

รวมความแล้ว เราไม่อาจหลีกหนีจากคนกลุ่มนี้ไปได้เลย...อาจได้เจอหรืออาจได้รับเคราะห์จากพวกเค้า ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และไม่วันใดก็วันหนึ่ง

...

ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเจอกับคนกลุ่มนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...ยิ่งทำธุรกิจหลากหลายก็ยิ่งมีโอกาสเจอคนกลุ่มนี้ บ่อยกว่าคนอื่น

แต่ยิ่งทำงานกับคนกลุ่มนี้บ่อยเข้า...ก็ยิ่งทำให้ผมเข้าใจธรรมะบางอย่าง...เป็นธรรมะที่ผมเข้าใจว่าใกล้เคียงกับ "ขันติ" และ "อหิงสา"

เหมือนพระเจ้ากำลังต้องการทดสอบความอดทนและกระซิบบอกเราว่า ก้าวผ่านคนกลุ่มนี้ไปให้ได้...แล้วเจ้าจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น ประมาณนั้น

ไม่รู้ทำไม เหตุการณ์ที่ต้องสู้รบปรบมือกับคนกลุ่มนี้ ทำให้ผมนึกไปถึงหนังจีนกำลังภายใน...เอาเสียหน่อยละกันครับ ^^

...

มาตรว่า บ่อยครั้งที่ขันติและอหิงสา ก็ไม่อาจทำให้อันธพาลยุทธภพเหล่านี้รามือไปโดยง่าย...ข้าน้อยขอแบ่งปันวรยุทธ์ที่ข้าน้อยได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านผู้อาวุโส ให้เหล่าสหายชาวยุทธ์ได้โปรดชี้แนะ ^^

กระบวนท่าแรก...แข็งแกร่งแต่ไม่แข็งกร้าว นั่นคือหากโดนกลั่นแกล้ง เราจำต้องบอกพวกเค้าว่า เราไม่ชอบใจ แต่จะไม่ถือสา

หากแต่ถ้าโดนรังแกบ่อยครั้งเข้า เราจำต้องแสดงให้พวกเค้ารู้ว่า อย่าได้ "ล้ำเส้น" อีกเป็นเด็ดขาด หาไม่แล้ว คงต้องประมือกันสักหลายเพลง

...

กระบวนท่าที่สอง...อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ นั่นคือ เราไม่จำเป็นจะต้องตอบโต้ด้วยการประมือเสมอไป แต่อาจต้องอาศัยความขยันในการเก็บข้อมูล, หลักฐาน และพยาน ไว้ให้ครบถ้วนและแน่นหนา

และเมื่อมีหลักฐานและพยานมากพอ ก็พร้อมแล้วที่จะโต้กลับ...

สำคัญอย่างยิ่งคือ เมื่อจะโต้กลับต้องมั่นใจว่า ด้วยทุกสิ่งที่เรามีอยู่ในมือ จะต้องใช้กำหราบพวกเค้าอยู่ในคราวเดียว...แสดงให้เค้ารู้ว่า หากพวกเค้ายังไม่เลิก เค้าจะต้องได้รับผลกรรมนั้น

เป็นการรับมือน้ำร้อนด้วยการสาดน้ำเย็นสวนกลับ...หากแต่เป็นน้ำเย็นที่มีน้ำแข็งก้อนโตๆ อยู่ในนั้นด้วย

...

กระบวนท่าสุดท้าย...เด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว นั่นคือเมื่อปล่อยกระบวนท่าที่หนึ่งและสองไปแล้ว พวกเค้าก็ยังไม่รามือ เราก็จำต้องปล่อยกระบวนท่าสุดท้าย

เช่น ได้ลั่นวาจาบอกพวกอันธพาลไปแล้วว่า  หากพวกเจ้าไม่รามือ ข้าจะรายงานบ้านเมืองให้รับทราบ หรือถ้าไม่จัดการงานให้แล้วเสร็จ ข้าน้อยจำต้องรายงานท่านประมุขพรรค

...หากยังโดนแกล้ง หรือโดนดองงานอีก เราจงอย่าใจอ่อน ก็ต้องรายงานบ้านเมือง จริงๆ หรือรายงานท่านประมุขพรรค จริงๆ

เพราะถ้าเราไม่ทำจริงอย่างที่พูด พวกเค้าจะมั่นใจว่า เราขี้ใจอ่อน ดีแต่ขู่โดยไม่กล้าลงมือ...รับรองได้ว่า ต่อไปเราก็จะตกที่นั่งเป็น "เหยื่อ" โดยไม่รู้จบ

...

ข้าน้อยไม่อาจบอกว่า วรยุทธ์ที่ได้รับการถ่ายทอดมา จะใช้ได้ผลกับสหายชาวยุทธ์ทุกท่านหรือไม่

แต่ในเมื่อทำให้คนกลุ่มนี้หมดไปจากโลกไม่ได้ เราจึงจำเป็นต้องหาทางอยู่รอด โดยแสดงให้เค้ารู้ว่า เราไม่ได้อยู่อย่างเป็น "เหยื่อ" ที่จะโดนเคี้ยวเมื่อไหร่ก็ได้

...แต่เป็น "ผู้ถูกล่า" ที่พร้อมจะกลายเป็น "ผู้ล่า" ได้โดยไม่ลังเล ยามเมื่อความจำเป็นมาถึง...

#บางคราเราจำต้องเรียนรู้วรยุทธ์ #มิใช่เพื่อใช้รังแกผู้อื่นแต่เพื่อกันมิให้ผู้อื่นรังแก #ฉันก็สู้คนน่ะฉันก็สู้คน #ไม่ใช่จะแกล้งใครแต่ฉันจะไม่ทน #ฉันก็สู้คนนะคะ #นิโคลมาเอง^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...