Skip to main content

Post#4-039: พระผู้ทรงเป็น "รอยยิ้ม" แห่งราชันย์

Post#4-039:
"หลังพ่อจากไป...แม่จะเศร้าขนาดไหนกันนะ?"

...ระหว่างที่ติดตามข่าวผ่าน News Feed และได้ไปเห็นพระฉายาลักษณ์ที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ ซึ่งทรงประทับอยู่บนรถยนต์พระที่นั่ง กำลังทรงโบกพระหัตถ์ให้กับปวงราษฎรที่มาเข้าเฝ้าฯ ส่งขบวนพระบรมศพ

แล้วจู่ๆ คำถามที่ว่านี้ ก็แว่บขึ้นมา!

...

ในฐานะพระบรมราชินีนารถ แน่นอนว่าพระองค์ต้องทรงกำลังโศกเศร้า เพราะทรงเสียพระสวามีไป และในฐานะคนไทย ก็ทรงสูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักไป เฉกเช่นคนไทยทั้งแผ่นดิน

แต่ด้วยพระสถานภาพแห่งองค์แม่หลวงของปวงชน...พระองค์จึงมิอาจปล่อยให้ความเศร้าโศกเกาะกุมพระทัย จนมิอาจทำหน้าที่ "แม่ของแผ่นดิน" ได้

และนั่นคือ หนึ่งใน "ความเสียสละ" ครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ที่แม่ได้ทำให้แก่ลูกๆ ชาวไทยทุกผองชน

...

ลองคิดดูว่า หากแม่แสดงความอ่อนแอให้พวกเราเห็น...กำลังใจของพวกเราคงจะยิ่งหดหายไปมากกว่านี้เป็นแน่

แต่เพราะทรงดำรงความเข้มแข็งให้ปวงชนชาวไทยได้ประจักษ์แบบนี้...พวกเราจึงได้รับรู้แล้วว่า แท้จริง "จิตวิญญาณ" ของพ่อ ก็ยังคงอยู่กับเรา โดยมีแม่เป็นผู้ถ่ายทอดออกมานั้นเอง

ยังไงก็ตาม ผมคิดว่า เมื่อวานนี้ แม่คงไม่เศร้าจนเกินไปนัก...เพราะแม่คงได้เห็นแล้วว่า พวกเราคนไทยรักพ่อมากมายเพียงใด

...

ใครที่มีภรรยาที่คอยสนับสนุนสามีในทุกๆ ด้านนั้น ต้องถือเป็นโชคอันยิ่งใหญ่ และยิ่งภรรยาคนนั้น ทำหน้าที่แม่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องด้วยแล้ว...

คงต้องบอกว่า ผู้ชายคนนั้น ต้องเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก

ไม่ต้องบอก ทุกคนก็คงจะรู้ดีว่า การทำหน้าที่ภรรยาที่ดีและแม่ที่ดีไปพร้อมๆ กันนั้น นับเป็นเรื่องไม่ง่ายเอาเลยจริงๆ

และต้องเป็นเรื่องไม่ง่ายอย่างยิ่งสำหรับสตรีคนใดก็ตาม เพราะ "ภรรยาและแม่" คนที่ผมกำลังกล่าวถึงนั้น...พระองค์ท่านทรงดำรงพระสถานภาพเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนารถของแผ่นดิน และเป็นพระมารดาของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี

ดังนั้น คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า กว่า 70 ปีที่ผ่านมา แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ...ย่อมมีแม่ของแผ่นดินพระองค์นี้ คอยเป็นพระกำลังหทัยที่ยิ่งใหญ่ มาโดยตลอด

เบื้องหลังพระเกียรติยศแห่ง "มหาราชาในหมู่ราชา" นั้น...ก็คือ "มหาราชินี" ซึ่งทรงเป็นแม่ของพวกเราทั้งแผ่นดิน นั่นเอง

...

ครั้งหนึ่ง นักข่าวชาวอเมริกัน เคยทูลสัมภาษณ์พระองค์ว่า ทำไมพระองค์ไม่ค่อยแย้มพระสรวลเลย?

พระองค์เบือนพระพักต์ไปทางสมเด็จพระราชินีที่ทรงประทับนั่งอยู่ข้างๆ แล้วทรงดำรัสตอบว่า "She is my smile!"

ไม่รู้สิครับ...การที่ทรงมีพระดำรัสตอบเช่นนั้น ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า พระองค์ทรงรักและชื่นชมพระแม่ของแผ่นดินมากเพียงไร

และในขณะเดียวกัน พระดำรัสนั้น ก็คงเป็นนิยามที่อธิบายถึงความเป็น "สมเด็จพระบรมราชินีนารถ" และ "สมเด็จพระมารดา" ได้ชัดเจนอย่างที่สุด โดยไม่ต้องขยายความใดๆ อีก

...

โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่า สมเด็จพระราชินีของปวงชนชาวไทยนั้น ทรงเข้มแข็งเกินกว่าทีเราจะจินตนาการไปถึง...

นึกออกมั๊ยครับ ว่าการที่แม่ต้องร้องไห้อยู่แต่ในอก...แต่ภายนอกต้องแสดงออกว่าเข้มแข็ง เพื่อเป็นหลักให้ลูกๆ ได้ยึดเหนี่ยวนั้น...มันยากเย็นขนาดไหน?

...แต่แม่ก็เลือกที่จะทำ...ทำเพื่อลูกๆ ทั้ง 70 ล้านคน นั่นเอง

...

พอจะนึกออกมั๊ยครับ ว่า พวกเราพอจะแสดงกตัญญุตาต่อองค์พระแม่ฟ้าของชาวไทยได้อย่างไร?

ผมว่า คงไม่มีอะไรดีกว่า การที่จะแสดงให้พระองค์ท่านได้ทรงประจักษ์ว่า

...พวกเราชาวไทยทุกคน จะดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ โดยไม่หลงทางไปไหน

...

อ่านมาถึงตรงนี้...มีใครได้ยินเสียงเพลงแว่วมาในจิตใต้สำนึกบ้างมั๊ยครับ?

"...ขอเดชะองค์สมเด็จพระราชินี คู่บุญ บารมี จักรีเกริกฟ้า..."

...ถ้าคุณกำลังเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ อยู่ล่ะก็...อย่าแปลกใจเลยครับ ผมเองก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน...

#รักพ่ออย่างไรก็รักแม่อย่างนั้น #แม่เข้มแข็งเพื่อเราดังนั้นเราก็ต้องเข้มแข็งเพื่อแม่ #รอยยิ้มของพ่อก็คือแม่ #ทรงพระเจริญ #ทีฆายุโกโหตุมหาราชินี

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...