Skip to main content

Posts

Showing posts from November, 2016

Post#4-085: วิปัสสนาวินิจฉัย

Post#4-085: เมื่อค่ำวานนี้ พี่ S (ที่ผมเคยเล่าถึงใน Post#3-283) เล่าให้ผมฟังว่า พี่เค้าได้ไปเข้าค่ายวิปัสสนามาถึง 10 วันเต็มๆ สำหรับผม...นี่นับเป็นเรื่องที่ไม่แน่ใจว่า จะทำได้หรือไม่ กับการที่ต้องตัดขาดจากการรับรู้เรื่องโลกโดยสิ้นเชิงแบบนี้ถึง 10 วันเต็มๆ เป็น 10 วันที่เราต้องอยู่กับตัวเอง...พินิจและพิจารณาถึงอายาตนะภายใน ไม่รับรู้ความเป็นไปประดามี...รู้เพียงเรื่อง "จิต" ของเราเองเท่านั้น ... มานั่งนึกดูดีๆ แล้ว...จนกระทั่งอายุปูนนี้แล้ว ผมก็ยังไม่เคยนั่งสมาธิได้เกินกว่าชั่วโมงเลย...เพราะทุกครั้งที่นั่ง ผมจะถูก "นิวรณ์ 5" เป็นตัวกั้นขวาง โดยเฉพาะ "วิจิกิจฉา" ที่ชวนให้จิตของผมสงสัยเรื่องนั้น แส่ส่ายไปเรื่องนู้น...ให้เป็นที่วุ่นวาย รวมความแล้ว...ก็น่าจะเพราะจิตผมยังไม่มีกำลังที่กล้าแข็งพอที่จะต่อสู้กับขบวนการเซนไตที่ชื่อ "นิวรณ์" นั่นเอง ... ส่วนตัวผมเองรู้ดีว่า "จิต" เป็นเรื่องซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก...ยากในระดับที่ไม่ห่างมากนักกับ "อจินไตย" เลยทีเดียว ก็เพราะเรื่องจิตนั้นยาก...การยกระดับจิตให้พ้นจาก "โลก...

Post#4-084: มนุษย์ขั้นกว่า

Post#4-084: หัวค่ำนี้ ผมมีโอกาสมาอุดหนุนเพื่อนรุ่นพี่ (สมมติว่าชื่อพี่ K นะครับ) ที่เปิด Mini Bistro อยู่ที่อาคารอรกานต์ ใกล้ๆ กับ Central ชิดลม เรื่องของเรื่องก็คือแถวนี้หาอะไรทานไม่ง่ายนัก พี่ K ก็เลยให้ศรีภรรยา (สมมติว่าชื่อพี่ T นะครับ) เปิด Mini Bistro เองเสียเลย แต่มาตรฐานระดับพี่ T แล้ว ไม่มีการทำอะไรแบบเล่นๆ...ก็เลยทำให้ Mini Bistro ที่ว่านี้ กลายเป็น Mini Bistro ที่มีความ chic ในระดับสูง เอาจริงๆ แบบไม่แกล้งยอ...ตั้งแต่รู้จักพี่ K กับพี่ T มา...ผมก็เคยเห็นพี่เค้าทำอะไรลวกๆ เลย...ไม่ว่าจะทำอะไร คู่นี้เค้าทำเต็มที่เสมอ ... นี่เป็นแบบอย่างที่น่ายกย่อง และเราน่าจะเลียนแบบเป็นอย่างยิ่งครับ...คือทำอะไรก็ทำแบบ "เต็มที่" โดยมีเป้าหมายคือต้องส่งมอบ "ผลลัพธ์" ที่สุดยอดที่สุด...เสมอ เท่าที่ผมประสบมา...ใครที่ทำอะไรแบบครึ่งๆ กลางๆ...สุดท้ายแล้ว ก็จะจบแบบครึ่งๆ กลางๆ...ซึ่งหมายถึง เราก็เป็นได้แค่ "มนุษย์ค่าเฉลี่ย" ก็ในเมื่อในโลกนี้ มี "มนุษย์ค่าเฉลี่ย" เป็นประชากรส่วนใหญ่...เราจึงมิอาจจะประสบความสำเร็จได้ หากว่าเรากลายเป็นสมาชิกถาวรในกล...

Post#4-083: อย่าแก้ตัวจนเป็นนิสัยถาวร

Post#4-083: จำได้ว่า ผมเคยคุยให้ฟังไปหลายครั้งมากๆ ว่า หากเราต้องการพัฒนาและก้าวหน้า เราจำต้องรู้จัก "ชี้เข้าอย่าชี้ออก" และผมมั่นใจว่า คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินจริงเป็นแน่ หากผมจะสรุปว่า ตราบใดที่เราไม่รู้จักการ "ชี้เข้า" ให้มากกว่า "ชี้ออก"...ก็แปลได้ว่า เรายังไม่อาจขึ้นชั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงได้ ทำใจไว้นิดเถอะครับ...ว่าเราจะได้เจอคนที่ "มักจะ" ชี้ออก อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ... การชี้ออกก็ไม่ต่างจากการหาข้อแก้ตัว ซึ่งก็อาจจะเป็นการช่วยให้เราพอจะ "รอดตัว" ไปได้บ้าง...แต่ไม่ใช่ทุกครั้งแน่ๆ เพราะไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด...แปลว่า ไม่มีใครมาเชื่อเราหรอกครับ ว่าความผิดที่เกิดขึ้น จะมาจากเหตุอื่นหรือคนอื่น ทุกครั้งไป และหากผิดเรื่องเดิมซ้ำๆ...ผมว่าเราก็คงจะ "หน้าด้าน" ไปหน่อย ที่จะมัวโทษชาวบ้านชาวช่อง โดยไม่รู้จักพิจารณาตัวเอง ... คราวนี้ เราจะรู้ได้ยังไงกันหนอ ว่ากำลัง "ชี้ออก" แบบไร้ยางอายเกินไปแล้ว? ของแบบนี้ ผมเองก็จนปัญญาที่จะ "ฟันธง" ล่ะครับ...เพราะความจริงนั้น มีเพียงหนึ่งเดียว และมี...

Post#4-082: เสียชาติเกิดมั๊ยนะ?

Post#4-082: ชะรอยคงเป็นเพราะผมมีเวลาว่างระหว่างลอยอยู่บนท้องฟ้ามากจนเกินไปกระมังครับ...จู่ๆ ผมก็คิดถึงเรื่องราวของชีวิตขึ้นมาเสียอย่างนั้น ถือเสียว่า อ่านกันเพลินๆ คุยกันขำๆ ก็แล้วกันนะครับ... ถ้าสมมติว่า อายุขัยเฉลี่ยของคนเราอยู่ที่ 75 ปี โดยประมาณ...นั่นก็แปลว่า เรามีเวลาอยู่บนโลกแต่ 27,375 วัน เท่านั้นเอง ไม่มีทางเลือกที่จะต้องหักเวลานอนออกไปเสีย 1/3 ก็แปลว่า เวลาหายวับไปในพริบตาถึง 9,125 วัน...ไม่เป็นไรน่า...ยังเหลืออีก 18,250 วัน งั้นไปต่อนะครับ...หักเวลาช่วงวัยเด็ก ที่เราไม่สามารถดูแลชีวิตตัวเองได้ ไปอีก 3,650 วัน (นี่คือเทพแล้วนะครับ เพราะแปลว่าเราเลี้ยงตัวเองได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี) เหลือเท่าไหร่แล้วนะ?...ยังครับ ยังหักไปไม่พอ...ว่าแล้ว ก็มาหักกันต่อ แต่ผมจะหักแบบหยวนๆ ก็แล้วกัน รถติดอยู่บนท้องถนน หักไปวันละ 2 ชั่วโมง, หักเวลากินข้าว วันละ 2 ชั่วโมง, เวลาเข้าห้องน้ำ วันละ 2 ชั่วโมง...พอก่อนละกันครับ ก็สรุปได้ว่า หายไปอีก 5,475 วัน (นี่ผมคิดเฉพาะเกินอายุ 15 มาแล้วเท่านั้นนะครับ...ก็บอกแล้วว่าหักแบบหยวนๆ) เอาล่ะ...ตกลง เราเหลือเวลาที่จะทำอะไรต่อมิอะไรแค่ไหนกันแน่นะ?...

Post#4-081: Japanese Standard

Post#4-081: ผมเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลคราวนี้ เพราะมีภารกิจต้องมาประชุมกับชาวญี่ปุ่นถึงกรุงโตเกียว ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับผมอยู่เหมือนกัน...เพราะผมไม่ค่อยมีโอกาสได้เจรจาธุรกิจกับชาวญี่ปุ่นบ่อยนัก สำหรับผม "ญี่ปุ่น" มีไว้เที่ยวเสียล่ะมากกว่า ... ในช่วงยี่สิบปีมานี้ ผมเดินทางบ่อยมาก...บ่อยเสียจนผมเบื่อ...แต่ "ญี่ปุ่น" เป็นหนึ่งในน้อยประเทศเหลือเกิน ที่ผมไม่เคยเบื่อหรือคิดจะปฏิเสธที่จะกลับมา คิดว่า ก็คงเช่นเดียวกับคนไทยหลายๆ ล้านคน ที่ชื่นชอบประเทศญี่ปุ่น...ผมเองก็ชอบอะไรหลายๆ อย่างของญี่ปุ่นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, การ์ตูน, ของเล่น, เทคโนโลยี, วัฒนธรรม รวมไปถึงนิสัยในการทำงานของคนญี่ปุ่น ... ผมชอบในความมุ่งมั่น ตั้งใจ และทุ่มเทในการทำงานของชาวอาทิตย์อุทัย...และเท่าที่ผมสังเกต ไม่ว่าพวกเค้าจะทำอาชีพอะไร ก็ล้วนแต่จริงจังและใส่ใจไปเสียทั้งหมด ยกตัวอย่างวันนี้ ผมเดินเข้าร้านขายยา...ผมก็เปิดรูปขวดยาในมือถือดู และเดินวนรอบร้านอยู่ก็หาไม่เจอ ว่าแล้วผมก็เดินไปเพื่อจะถามพนักงานขาย ปรากฏว่า ยังไม่ทันจะอ้าปากถาม พนักงานขายก็หยิบขวดยาให้ทันที...นั่นแปล...

Post#4-080: อิสระภายใต้กรอบที่กำหนด

Post#4-080: ระหว่างเดินทางไปญี่ปุ่นเช้านี้ ผมใช้เวลาในการพูดคุยกับเพื่อนสนิท ถึงเรื่องราวต่างๆ...ตั้งแต่ update ชีวิตทั่วๆ ไป...จนกระทั่งถึงเรื่องวางแผนว่าจะไปเที่ยวไหนด้วยกันดี คุยกันไปคุยกันมา ก็วกมาถึงเรื่องที่ว่า จะมี Project อะไรใหม่ๆ ที่เราน่าจะทำร่วมกันได้ บ้างมั๊ยหนอ? แรกๆ ก็คุยกันแบบฟุ้งๆ...แต่พอคุยไปคุยมาก็ชักจะเข้าเค้าและมีทรง...จนกลายเป็นการคุยกันแบบจริงจัง และลงท้ายด้วยการสุมหัวทำแผนคร่าวๆ ลงบน Laptop นั่นเลย ^^ ... กว่า 20 ปีที่ทำงานมา...ผมพบว่า ส่วนใหญ่ Idea ใหม่ๆ ทางธุรกิจ ก็มักจะแวะมาหายามที่ไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้นี่เอง แล้วเป็นเหมือนผมมั๊ยครับ...ที่พอเวลาตั้งใจเค้นสมองแทบตาย...บ่อยครั้งที่กลับไม่ได้อะไรเลย ราวกับว่า สมองกำลังส่งสัญญาณมาเตือนเรา ว่า "อย่ามาบังคับกันนะ...ให้อยู่ในอารมณ์สบายๆ แล้วฉันจะบอกเธอเอง"...ประมาณนั้น ... แต่จริงๆ แล้ว...แบบไหนเป็นวิธีการใช้สมองเพื่อ "ตกผลึกความคิด" อย่างถูกวิธีกันแน่นะ? อย่ากระนั้นเลยครับ...ก็ลองคิดหาเหตุผลกันดูสักหน่อย ดีมั๊ยครับ? เอ้า! ผมให้เวลา 10 นาทีเลย ^^ ... ผมเองก็ไม่ทราบว่าคนอื่น...

Post#4-079: Time and Tide wait for no man...

Post#4-079: เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผมกำลังนั่งงงๆ ทบทวนชีวิตในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา อยู่ที่สนามบินชางกี ที่ประเทศสิงคโปร์ ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบที่ผมมี...และให้บังเอิญเป็นงานที่มอบหมายให้ใครไปทำแทนก็ไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้ตารางงานของผมในช่วงปีหลังๆ นั้น แสนจะวุ่นวาย และบ่อยครั้ง ที่มันทำให้ผมต้องบินแบบเช้าไปเย็นกลับ (One Day Trip) ระหว่างเมืองไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเมียนมาร์, สิงคโปร์ หรือฮ่องกง...ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แม้ผมจะไม่รังเกียจการเดินทาง...แต่มาเจอ One Day Trip บ่อยๆ แบบนี้...ก็ทำเอาเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว ... แต่จะว่าไป ก็ใช่ว่า One Day Trip จะมีแต่ข้อเสียเพียงเท่านั้น...แท้จริงแล้ว ผมพบว่า มันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน ข้อดีก็คือ มันทำให้เราเห็นสัจธรรมได้ชัดเจนว่า หากเราไม่คิดจะหยุดนิ่งแล้วไซร้ เวลาหนึ่งวันก็มากพอที่เราจะใช้พาตัวเองไปได้ไกลกว่าที่คิด เช่นวันนี้ ที่ผมไม่มีเวลามามัวโอ้เอ้หรือเอ้อระเหยลอยชายอยู่...จึงทำให้สามารถคุมการประชุมให้มีข้อสรุปได้ในเวลาที่กำหนด...ทั้งที่มันเป็นหัวข้อการประชุมที่หนักหนาและสำคัญขนาดที่ต้...

Post#4-078: ตั้งเป้าหมายการขาย

Post#4-078: ช่วงเช้าที่ผ่านมา ผมประชุมค่อนข้างเคร่งเครียดกับทีมขาย เพื่อหารือเกี่ยวกับเป้าหมายการขายปีหน้า พูดกันตรงๆ ก็ต้องบอกว่า เป้าหมายการขาย ถือเป็นเป้าหมายที่องค์กรที่แสวงหาผลกำไรทุกองค์กร ให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ถ้ากำหนดเป้าหมายการขายผิด...นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตามมา ก็มีหวังผิดตามไปด้วยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแผนการผลิต, แผนการสั่งซื้อ, แผนการตลาด, การวางแผนงบประมาณ และแผนอื่นๆ ที่เหลือ เรียกว่า ติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็พาลทำให้ติดเม็ดอื่นผิดตามไปด้วยทั้งหมด นั่นเลย ... การจะมั่นใจได้ว่า เป้าหมายการขาย ถูกต้อง จึงจำเป็นต้องรู้ที่มาที่ไปของการตั้งเป้าที่ว่า ดังนั้น ทีมขายจะต้องนำเสนอได้ว่า ยอดขายจะเติบโตได้จากจุดไหน, อย่างไร และเมื่อไหร่ ถ้าอธิบายไม่ได้โดยละเอียด ก็แปลว่า "มั่ว" และถ้า "มั่ว" ตั้งแต่เริ่มต้น...คงไม่ต้องบอกใช่มั๊ยครับ ว่าปลายทางจะเละเทะไปได้ถึงขนาดไหน? ... ใครที่มีหน้าที่ตั้งเป้าหมายการขาย จึงจำต้องระลึกไว้เสมอว่า เป้าหมายการขาย จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความทะเยอทะยาน, ความเป็นไปได้ และความมั่นใจ ทีมขายที่ตั้งเป้าแบบถ...

Post#4-077: อย่าอยู่เฉยโดยไม่ออกหมัด

Post#4-077: เที่ยงที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปทานข้าวกับลูกน้องคนหนึ่ง...ซึ่งทำงานด้วยกันมานานหลายปี ตอนหนึ่งของการสนทนา เราก็คุยกันเรื่อง ทำยังไงถึงจะทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่ เติบโตไปได้ด้วยดี ด้วยเพราะช่วงนี้ เป็นช่วงที่คาดเดาภาพรวมของเศรษฐกิจได้ยาก รวมไปถึงคาดเดาพฤติกรรมการจับจ่ายของลูกค้าได้ไม่ง่ายเลยเช่นกัน ... เมื่อภาพรวมของตลาดยังคงคลุมเครือ...มีไม่กี่ทางที่เราจะอยู่รอด...ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การทำให้เราเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของลูกค้า หลายๆ บริษัทฯ มักจะบอกว่า เราต้องมีทั้งสินค้าที่ดีและบริการที่เด่น จึงจะทำให้เราเป็นตัวเลือกที่ว่าได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ลูกค้าจะสัมผัสสินค้าที่ดีมีคุณภาพได้ชัดเจน แต่จะมีกี่ร้านค้าที่จะให้บริการลูกค้าได้อย่างโดดเด่นเป็นรูปธรรม จนลูกค้าสัมผัสความแตกต่างนั้นได้? แปลว่า การเน้นเรื่องบริการนั้น เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการ "สร้าง" ไม่น้อยเลย ... ดังนั้น จึงต้องยอมรับว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึงนั้น...หลายๆ ร้านค้า ต่างมักจะนิยมเลือกใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นตัวดึงดูดให้ลูกค้ายอมควักกระเป๋า ถามว่า ผิดมั๊ย...ผมเองก็ตอบไม่ได...

Post#4-076: เมื่อคราวที่ฝนฟ้าไม่เป็นใจ

Post#4-076: ช่วงบ่ายของวันนี้ ผมใช้เวลาไปกับการนำเสนอภาพธุรกิจให้กับฝ่ายสินเชื่อของธนาคารแห่งหนึ่ง...เรื่องของเรื่องก็คือจะไปขอวงเงินมาต่อลมหายใจและต่อยอดธุรกิจ นั่นแหละครับ ว่ากันตามจริงแบบไม่อ้อมค้อม...นอกเหนือไปจากปัญหาเรื่องคนแล้ว เรื่องที่ปวดหัวที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารทั้งหลาย...ก็คือเรื่องการบริหารสภาพคล่องของเงิน ...แปลภาษาไทยให้เป็นไทยก็คือ จะ "หมุนเงิน" ยังไงให้ทัน นั่นเองครับ ^^ ... ในยามนี้ บริษัททั้งหลายก็ต่างพยายามจ่ายหนี้ให้ช้า และเก็บเงินให้เร็วขึ้น...ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการค้า แต่ที่ไม่ธรรมดา ก็คือ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแบบ Chain Reaction (แปลว่า "ปฏิกิริยาลูกโซ่) จากการ "จ่ายช้าๆ รับเร่งๆ" จนทำให้เซซวนกันไปทั้งระบบ ยิ่งช่วงนี้มีข่าวหนาหูขึ้นมาก ว่าหนี้เสียล้นทะลักระดับเป็นแสนล้านบาทด้วยแล้ว...บอกตรงๆ ว่าผมก็รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ อยู่ไม่น้อย ... เท่าที่ผมได้ยินมาและรับรู้ด้วยตัวเอง มีหลายบริษัทฯ แล้ว ที่ต้องปิดตัว, หลายบริษัทฯ ต้องลดคน และอีกหลายบริษัทฯ ที่ยังไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะเป็นฉันใด รวมความแล้ว....

Post#4-075: ทดสอบ IQ

Post#4-075: เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและภรรยาพาลูกสาวไปทดสอบ IQ กันมา...สืบเนื่องมาจากที่ภรรยาผมเกิดอยากรู้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ว่าลูกสาวมี IQ เท่าไหร่กันหนอ? การทดสอบ IQ ที่ว่า ใช้เวลาประมาณ 45-65 นาที โดยมีการทดสอบในหลายๆ เรื่อง ตามมาตรฐานของ WISC-Version IV เท่าที่ผมทราบ...WISC นี้ ก็ถือเป็นแบบทดสอบ IQ ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับ Global และเมื่อสืบค้นเพิ่มเติม ก็ดูเป็นการทดสอบที่มีโครงสร้างที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่ Ok แต่ที่ผมติดปัญหาคือ ผู้วัดผลและผู้อ่านผล...ที่ผมไม่ค่อยมั่นใจเอาจริงๆ ว่า มีคุณภาพเพียงพอที่จะเป็นผู้วัดผลและผู้อ่านผล จริงมั๊ย? ... ที่พูดแบบนี้ ไม่ได้แปลว่า ผมโกรธหรือไม่พอใจอะไรหรอกนะครับ...ผลสอบ IQ ของลูกสาวของผมก็ออกมาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลย ตรงกันข้าม...ผลทดสอบในบางหัวข้อนั้น ออกมาเป็น Super Superior เกินกว่าค่าเฉลี่ยไป "มาก" เสียด้วยซ้ำ ซึ่งมันทำให้ผมต้องทบทวนว่า การวัดผลที่ต้องอาศัย judgement ของคนนั้น อาจจะมี bias ได้ค่อนข้างมาก และถ้าคนวัดผลมีคุณภาพไม่ถึงขั้น ต่อให้มาตรวัดผลจะดียังไง...ผลลัพธ์ก็ไม่มีวันที่จะดีไปได้ ... ลองคิดภา...

Post#4-074: ทำได้ไม่ดี vs ทำดีไม่ได้

Post#4-074: ว่ากันตามจริงแล้ว...เราต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าการ "ทำได้" กับ "ได้ทำ" นั้น ฟังดูคล้ายกัน แต่ผลลัพธ์นั้นต่างกันมหาศาลนัก สมัยที่เรายังเด็กๆ...หลังจากสอบเสร็จ ถ้าแม่ถามว่า "สอบเป็นยังไงลูก"...แล้วเราตอบว่า "ทำได้ครับแม่" กับ "ได้ทำครับแม่" เราคิดว่า แม่จะมีปฏิกิริยากับคำตอบทั้งสองแบบของเรายังไงบ้าง? ... ผมคิดว่า แม่คงจะไม่ว่าอะไร ถ้า เรา "ทำได้ไม่ดี" แต่แม่คงจะเสียใจที่เรา "ทำดีไม่ได้" การที่เรา "ทำได้ไม่ดี"...ก็คงพอตีความได้ว่า เราตั้งใจทำแล้ว แต่ที่ผลลัพธ์อาจจะยังไม่ดีนั้น อาจขึ้นได้จากหลายเหตุ-ปัจจัย และไม่ว่าจะเกิดจากเหตุ-ปัจจัยใด...ครั้งหน้า เราอาจมีโอกาสจะทำให้ผลลัพธ์นั้น ดีขึ้นได้ แต่การที่เรา "ทำดีไม่ได้"...ก็คงตีความเป็นอื่นไปไม่ได้ว่า เราแค่ทำให้มันผ่านๆ ไป หรือจบๆ ไป โดยไม่แยแสว่า ผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน? ซึ่งตราบใดที่เรายังไม่เปลี่ยนทัศนคตินั้น...ก็มีอันแน่ใจได้ว่า คงไม่มีวันที่เราจะทำอะไรได้ดี สรุปง่ายๆ ว่า ทั้งสองแบบ ต่างกันสุดขั้วตรงที่ "ทัศนคติ...

Post#4-073: เดินตามคนหมู่มาก

Post#4-073: เมื่อเช้าระหว่างผมรอขึ้นเครื่อง เนื่องจากหมายเลขที่นั่งผมอยู่ท้ายๆ เลยเดินไปเข้าห้องน้ำฆ่าเวลา ออกจากห้องน้ำ ก็เห็นผู้โดยสารบางตา เพราะเดินเข้า Gate ไปกันเกือบหมดแล้ว...ผมก็เลยเดินตามเข้าไปแบบสบายๆ ไม่ได้เร่งรีบ พอเดินเข้าไปก็พบว่า ผู้โดยสารไปกระจุกตัวกันอยู่ด้านใน...และไม่กี่นาทีถัดมา ก็ปรากฏว่า คนก่อนหน้าผมกว่าเจ็ดแปดสิบชีวิต ต่างเดินย้อนทางกลับมาทั้งหมด หลังจากยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่พักหนึ่งจึงพบว่า ทั้งเจ็ดแปดสิบชีวิตนั้นเดินเข้าผิดช่อง! ... หลังจากสังเกตดูแล้ว การที่ทั้งหมดเดินเข้าผิดช่องนั้น ก็เพราะผู้โดยสารคนแรกเดินเข้าผิดช่องก่อนนั่นเอง แล้วทั้งหมดก็พลอยผิดไปด้วย... ไม่มีใครสังเกตป้าย เอาแต่เดินตามคนข้างหน้าไปทั้งหมด...ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะขำดีหรือจะเบ้ปากมองบนดี ... จะว่าไป ชีวิตจริงของคนจำนวนไม่น้อย ก็เจอทำอะไรคล้ายๆ แบบนี้บ่อยๆ คือไม่ได้ใช้สติพินิจพิจารณาอะไรนั้น...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผิดหรือว่าถูก...เอาว่า เห็นคนหมู่มากเค้าทำอะไร ก็แห่ทำตามเค้าไปทั้งสิ้น ลองคิดดูว่า ถ้าเหตุการณ์เมื่อเช้านี้ เป็นการเดินลงเหวของคนเดินนำ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง? ลองคิด...

Post#4-072: แม้ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่เคยไกล

Post#4-072: หลายวันก่อน ผมมีนัดทานข้าวกับเพื่อนๆ ที่เคยทำงานอยู่ด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน...ซึ่งจะว่าไปแม้จะนานๆ เจอกันที แต่ก็ถือว่าได้เจอกันบ่อยอยู่เหมือนกัน มานั่งทบทวนดู...ผมไม่ค่อยจะมีเพื่อนในวัยเดียวกันเอาซะเลย...ส่วนมากจะเป็นเพือนที่อายุมากกว่า หรือไม่ก็น้อยกว่าหลายปี คงเป็นเพราะผม "รีบร้อนแก่" มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ จึงคุยกับคนในวัยเดียวกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง...เป็นเหตุให้ถูกคอกับผู้มีวัยวุฒิที่สูงกว่า และเพราะส่วนตัวแล้ว ผมชอบ update ข่าวสารว่าโลกไปถึงไหนกันแล้ว...จึงทำให้ผมชอบให้เด็กๆ หรือน้องๆ มาคุยนั่น นู่น นี่ ให้ฟังบ่อยๆ สรุปว่า แม้จะไม่ค่อยมีเพื่อนวัยเดียวกันก็ไม่เป็นไร...สำคัญที่ว่า ผมยังมีเพื่อนก็แล้วกัน ^^ ...และไม่ว่าจะยังไง...ผมก็ไม่คิดว่า ในโลกใบนี้ จะมีใครอยู่โดยไม่มีเพื่อนได้ ... เอาจริงๆ วันนั้นที่เจอกับเพื่อนๆ...เราคุยกันหลายเรื่องมาก แต่ถามว่ามีเรื่องใดที่เป็นสาระเป็นเรื่องเป็นราวมั๊ย? ผมต้องอมยิ้มแล้วตอบว่า "ไม่ค่อยจะมี" >_<' ถ้าจะพูดให้ถูก...ผมว่า การนัดเจอเพื่อนเพื่อทานข้าวเฮฮาน่ะ...การที่ไม่ได้คุยกันแบบมีสาระเลยน่ะ...

Post#4-071: รับผิดและรับชอบ

Post#4-071: วันนี้ผมอารมณ์ไม่สู้ดีนัก...เหตุเพราะเจอแต่เรื่องวุ่นวายที่เกิดจากการทำงานที่ไม่ละเอียดรอบคอบของทีมงาน แต่ที่อารมณ์ไม่สู้จะดีน่ะ เป็นเพราะผมไม่พอใจตัวเองมากกว่า ที่ไม่ได้ตรวจสอบงานให้ละเอียดกว่านี้...ส่วนทีมงานน่ะ แม้ผมจะโกรธอยู่ไม่น้อย แต่ก็ทำใจได้ว่า ก็คงต้องปรับต้องจูนกันต่อไป ต้องออกตัวก่อนครับ ว่าผมไม่ได้พูดเอาเท่...แต่ในฐานะของเจ้านายแล้ว,ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม, ผมก็ไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้ ... ผมมักจะได้ยินน้องๆ แอบบ่นและนินทาเจ้านายอยู่บ่อยๆ...ประมาณว่า งานเจ้านายสบายจัง, เข้างานสายได้ ออกงานเร็วก็ได้, แค่สั่งๆ ไม่ต้องลงมือทำให้เหนื่อย, แถมได้หน้า (ผลงาน) ก่อนอีกด้วย, ฯลฯ ขอแสดงความเห็นแบบไม่เข้าข้างนายนะครับ (เพราะปัจจุบัน ผมก็เป็นทั้งเจ้านายและลูกน้อง) ว่า จริงๆ แล้ว การเป็นเจ้านายนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่น้องๆ หลายคนเข้าใจ จริงอยู่ที่นายอาจได้รับความชื่นชมเป็นคนแรก...หากว่า ผลงานที่น้องๆ ทำ แสดงผลลัพธ์ที่ดี แต่ลองคิดในทางกลับกันบ้าง...ถ้าผลงานที่ออกมามันแย่ล่ะครับ...ไม่ใช่นายหรอกหรือครับ ที่จะต้อง "รับผิดชอบ" ก่อนใครๆ แม้จะมีทั้...

Post#4-070: เจอแต่ปัญหา

Post#4-070: เราคงต้องยอมรับความจริงที่ว่า ไม่ว่าเราจะไปทำงานที่ไหนๆ ในโลกนี้...ไม่ว่าจะเป็นองค์กรเล็กหรือใหญ่, จะคนมากหรือน้อย, หรือมีกระบวนการทำงานที่ง่ายหรือยาก ก็แล้วแต่... ก็รับรองได้ว่า ยังไงเสียทุกคนในองค์กรต่างก็อาจ "เจอปัญหา" ในการทำงานได้ทั้งสิ้น ถ้าองค์กรนั้นมีการวางโครงสร้างบริหารดี...ก็อาจเจอปัญหาน้อยหน่อย, แต่ถ้าเป็นองค์กรขนาดเล็กที่อิงอยู่กับเจ้าของคนเดียว...เราก็อาจเจอปัญหาได้มากกว่า ... รวมความแล้ว...ถ้าองค์กรไหนไม่มีปัญหาในการทำงานเลย ก็ไม่มีเหตุผลที่จะจ้างเราไปทำงาน ก็เพราะมีปัญหา...เจ้าของหรือผู้บริหาร จึงต้องการจ้างงาน...หรือพูดง่ายๆ ว่า ต้องจ้างคนเพื่อไปแก้ปัญหานั่นเอง ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือน...ลองอ่านทบทวนอีกเที่ยวก็ดีครับ...จ้างคนเพื่อไปแก้ปัญหา, ไม่ใช่จ้างคนเพื่อไปสร้างปัญหา ... ต้องทำความเข้าใจก่อนครับ ว่าเจตนาของการจ้างคนนั้น...ไม่ใช่เพื่อทำให้ปัญหากลายเป็นศูนย์ แต่เพื่อทำให้ปัญหาเข้าใกล้ "ศูนย์" ให้มากที่สุด ต่างหาก จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนให้ได้...เราจำเป็นต้องวางแผนในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำไปแก้ไป ที่ว่าต้อ...

Post#4-069: ดีกว่าเดิม...ไม่ต้องดีกว่าใคร

Post#4-069: ให้บังเอิญไปเจออดีตลูกน้องท่านหนึ่ง post ข้อความบน Timeline เมื่อเช้านี้...ผมอ่านแล้วก็ชอบใจเหลือหลาย เพราะสะกิดใจให้คิดตามได้ดี น้องเค้า post ไว้ประมาณว่า ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า อาจจะช้าบ้างเร็วบ้าง แต่ขอให้ดีกว่าเดิม แต่ไม่จำเป็นต้องดีกว่าใคร อ่านแล้วคิดตามสักหน่อยดีมั๊ยครับ ว่าน้องเค้ากำลังบอกอะไรเราบ้าง? ... ผมออกจะเห็นด้วยกับน้องเค้าไม่น้อยเลย...ไม่ว่าจะเป็นการบอกให้ทุกคนต้องสู้ชีวิต เดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ หรือจะเป็นข้อคิดอื่นๆ บางครั้งเจออุปสรรคหรือทดท้อ เราก็อาจจะเดินช้าไปบ้าง...แต่บางคราวจังหวะดี เราก็อาจจะเดินหน้าได้รวดเร็วขึ้น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เราจำเป็นที่จะต้องไม่หยุดเดิน...และสำคัญที่จะต้องเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ระหว่างเดินไปข้างหน้าที่ว่า...ไม่ต้องไปมัวเปรียบเทียบตัวเรากับใครอื่นให้เป็นทุกข์ไป หรอกหนา... แต่ต้องเปรียบเทียบกับตัวเราในอดีต...ว่าจริงๆ แล้ว เราดีกว่าเดิมมั๊ย? ... ก็ในเมื่อเราบอกตัวเองให้ต้องสู้...ให้เดินไปข้างหน้าโดยไม่หยุด...ยังไงเสียเราก็น่าจะก้าวหน้าไปได้ไกลกว่าคนที่ทอดอาลัยให้กับชีวิต เป็นแน่ ในเมื่อเราม...

Post#4-068: หลับเถิดหนา...แก้วตาดวงใจ

Post#4-068: ช่วงปีหลังๆ มานี้...ผมอาจจะใช้ชีวิตไม่ถูกแบบแผนอยู่บ้าง ตรงที่ทำงานมากไปนิด จนทำให้ระบบการพักผ่อนรวนเร บ่อยครั้งที่ผมตื่นขึ้นกลางดึก...และกว่าจะหลับได้อีกครั้ง ก็ใช้เวลาข่มตาอีกนานพอสมควร แต่การตื่นขึ้นกลางดึกที่ว่า ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเอาเสียเลย...เพราะมันทำให้ผมมีโอกาสได้ไปแง้มดูลูกสาวที่ห้องนอนของเธอ ... ปกติแล้ว...ถ้าผมอยู่เมืองไทยและไม่มีประชุมตอนดึกๆ...ผมจะต้องไปบอก Good Night และต้องเป็นคนห่มผ้าให้กับเธอ...ซึ่งถือเป็นการส่งเธอเข้านอนในทุกๆ คืน ...แต่ลูกสาวผมก็มักจะถีบผ้าห่มออกจากตัวอยู่เป็นประจำ คงเพราะเป็นคนขี้ร้อนเหมือนผม การได้ไปแง้มประตูดู จึงกลายเป็นโอกาสให้ผมได้ไปเช็คว่าเธอห่มผ้าอยู่ดีมั๊ย...ถ้าไม่ ผมก็เข้าไปห่มผ้าให้กับเธออีกครั้ง ... สำหรับคนอื่น นี่อาจเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สลักสำคัญอะไร...แต่สำหรับผม นี่คือหนึ่งในการแสดงออกซึ่งความรักและความห่วงใยที่ผม "ยินดี" ที่มีโอกาสที่ได้ทำ การได้เห็นลูกนอนหลับอยู่บนที่นอนอย่างเป็นสุข...น่าจะถือเป็นความสุขและความภูมิใจที่คนเป็น "พ่อ" ทุกๆ คนปรารถนา และการได้บอก Good Nigh...

Post#4-067: Senior Gen มาแรง

Post#4-067: ความจริงคนรุ่นผมเป็นรุ่นรอยต่อระหว่าง Gen X และ Gen Y...จึงทำให้มีบุคลิกของทั้ง 2 Gen ปะปนกันอยู่ไม่น้อย รุ่นผมยังทันเห็นปู่ย่าและพ่อแม่ทำงานอย่างยากลำบากอยู่บ้าง...ต่างจาก Gen Y เต็มตัวที่เติบโตมาในยุคที่โลกเข้าสู่พลวัตรแห่งเทคโนโลยีแบบเต็มสูบไปแล้ว จึงนับว่าคนรุ่นผมเป็นคนโชคดี ที่เข้าใจผู้ใหญ่และปรับตัวเข้ากับเด็กๆ ได้โดยไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก ... ไม่ทราบมีใครได้สังเกตกันบ้างมั๊ยครับ ว่าช่องว่างระหว่างคนยุคเก่ากับคนยุคใหม่นั้น ค่อนข้างจะห่างกันมากขึ้นทุกที ความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้สูงวัยกับเด็กยุคใหม่นั้น เกิดขึ้นเพราะความแตกต่างกันสุดขั้วของการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีและสารสนเทศ ในขณะเดียวกันผู้สูงวัยที่ปรับตัวได้ ก็กลายเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีความสุขในบั้นปลาย ด้วยถึงพร้อมทั้งกำลังซื้อและเวลาที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ ... เมื่อเกือบสิบปีก่อนหน้านี้...ผมฟัง Guru ด้านเศรษฐศาสตร์ ทำนายไว้ ว่าอีกสิบกว่าปีข้างหน้า...ประเทศไทยเราจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เหมือนกับประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นฟังแล้วได้แต่ส่ายหัวแบบขำๆ เพราะไม่คิดว่า เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่...

Post#4-066: บ้านมีกฎบ้าน...สังคมก็มีกฎในการอยู่ร่วมกัน

Post#4-066: ขึ้นชื่อว่าสังคมแล้ว จำเป็นต้องมีกฎและระเบียบในการอยู่ร่วมกัน เพื่อให้ทุกๆ คนต่างประพฤติและปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบอันควร บ้านก็มีกฎบ้าน, เมืองก็มีกฎเมือง และบริษัทก็มีกฎบริษัท...ซึ่งต้องเข้าใจและยอมรับก่อนว่า กฎมีไว้ให้ปฏิบัติตาม ไม่ใช่มีไว้เพื่อละเมิด แต่น่าเสียดายที่ผู้คนบางส่วน มักรู้สึกว่า การละเมิดกฎไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ และใครๆ ก็ทำกัน ... มาสายนิดหน่อย ก็ไม่เป็นไร, พักเที่ยงเลยไปหน่อย นายคงไม่ว่า, เข้าคิวหน้าเครื่องบันทึกเวลา ก็ไม่น่าเกลียด, นึกอยากจะหยุด ก็หยุดเลย เดี๋ยวลาป่วยเอา, ฯลฯ เนื่องจากบางครั้งมันก็เป็นอะไรที่ไม่ได้เป็นการละเมิดกฎที่ใหญ่โต, บริษัทก็เลยไม่ค่อยถือสาหาความ...ก็เลยทำให้หลายๆ คนได้ใจ จากการผิดกฎบางครั้ง...จึงนำไปสู่การผิดกฎบ่อยครั้ง และกลายเป็นเรื่องที่ "ใครๆ ก็ทำกัน" อย่างไม่ได้รู้สึกผิดอะไร เมื่อบ่อยครั้งเข้า จนฝ่ายบุคคลหรือนายต้องยกเอากฎมาพูดคุยและทำความเข้าใจกับ "ผู้ละเมิดกฎเป็นนิจ" ที่ว่า...ดราม่าจึงมีอันบังเกิด ... เราจึงมักได้ยินประโยคประมาณว่า "ใครๆ ก็ทำกัน", "ผิดแค่นิดหน่...

Post#4-065: Adult Child

Post#4-065: หนึ่งในสาเหตุหลักๆ ของปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งกันของผู้คนในสังคมนั้น ผมคิดว่าคงมีเรื่องของ EQ เป็นคำตอบลำดับต้นๆ ไม่รู้ว่าผมจะรู้สึกไปเองรึเปล่า...แต่ดูเหมือนว่า ความอดทนอดกลั้นของผู้คนดูจะลดน้อยลงไปมาก บางที่ถึงกับมีเรื่องกันใหญ่โตหรือถึงกับฆ่ากันตาย...ด้วยสาเหตุที่ไม่น่าจะต้องส่งผลไปถึงเพียงนั้นเลย หรือว่าสังคมของเราเริ่มจะอยู่ยากขึ้นไปทุกทีกันหนอ? ... ไม่ว่าเราจะเป็นคนไม่ค่อยฉลาดหรือฉลาดมากๆ ก็ตาม...แต่เราก็อาจเป็นคนที่แย่ในเรื่องการยับยั้งชั่งใจหรือการควบคุมอารมณ์ได้ทั้งสิ้น ซึ่งบางครั้งไอ้อารมณ์วูบเดียวของเรานั่นแหละ ที่ทำให้ชีวิตของเราต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล สารภาพตรงๆ ว่าผมเองก็เคยทำให้ชีวิตตัวเองต้องยุ่งเหยิง เพราะเจ้าอารมณ์วูบเดียวที่ว่า...และคงมีอีกหลายๆ คนเช่นกัน ที่ต่างก็ผ่านประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว ... แต่ก็มีอีกหลายๆ คน ที่เป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่...ที่เราเรียกกันว่า Adult Child (AC) ที่ผมจั่วหัวไว้นั่นล่ะครับ สรุปง่ายๆ ก็คือ พวกที่โตแต่ตัว แต่ความคิดไม่ได้พัฒนาตามไปด้วย...ซึ่งแย่กว่าการที่เราหลุดไปบ้างบางครั้ง เพราะพวก AC นั้น ไม่ได้หลุดบางครั้...

Post#4-064: Investment Fund

Post#4-064: เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมคุยกับผู้บริหารของ Investment Fund แห่งหนึ่ง อยู่ครู่ใหญ่ๆ...ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดี ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ เพิ่มเติม อยู่หลายเรื่อง หนึ่งในมุมมองที่น่าสนใจก็คือ การสร้างมูลค่าต่อยอดที่ Investment Fund สามารถทำให้ธุรกิจที่พวกเค้าเข้าไปลงทุน มีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น เพราะนั่นถือเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจมีมูลค่ามากขึ้น...ซึ่งถือเป็นเป้าประสงค์หลักของการลงทุน ... โดยมากแล้ว ธุรกิจที่เติบโตมาจากเจ้าของคนเดียว มักจะมีโครงสร้างที่ค่อนข้างหลวมและไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีพอในระหว่างฝ่ายงาน ดังนั้น โดยมากของการเสริมทัพเข้ามาของ Investment Fund จึงมุ่งเน้นไปที่การมา "ไขก๊อก" ให้หลังบ้านแน่นหนาขึ้น...เพื่อให้หน้าบ้านสามารถเปิดเกมรุกได้ดีขึ้น อย่าลืมว่า การที่มี Investment Fund เข้ามาให้ความสนใจนั้น สาเหตุหลักมาจาก Business Model ของเจ้าของคนนั้น มีความน่าสนใจและมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ค่อนข้างมาก เมื่อทัพหลังแข็งแกร่ง,มีการเติมเสบียงและเพิ่มแสนยานุภาพของอาวุธ...ก็จะทำให้ทัพหน้าบุกทะลวงได้เป็นอย่างดี ... อย...

Post#4-063: โจรสลัด vs กองทัพเรือ

Post#4-063: บ่ายวันนี้ ผมมีโอกาสได้ประชุมกับผู้จัดการร้านสาขาหลายสิบชีวิต...เพื่อมอบนโยบายและบอกเล่าถึงทิศทางที่องค์กรจะมุ่งไป แม้ว่าผมจะมอบหมายให้ผู้บริหารมือรองๆ ลงไปเป็นผู้รับผิดชอบในรายละเอียดปลีกย่อยแล้วก็ตาม...แต่มันเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกๆ คนในองค์กร จะต้องมองภาพรวมของธุรกิจเป็นภาพเดียวกันกับผู้บริหาร ดังนั้น การได้ถ่ายทอดเนื้อความ (ที่อยากให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน) ไปยังผู้บริหารขั้นต้น โดยตรง...จึงเป็นโอกาสที่ผู้บริหารระดับสูงจะมีโอกาสได้รับข้อมูลป้อนกลับ ทั้งในแง่ของการประเมินความรับรู้และความเข้าใจ, ได้สัมผัส Team Spirit และเป็นโอกาสที่จะได้รับข้อมูลทางตรง อีกด้วย ... ประเด็นสำคัญที่ผมบอกเล่ากับน้องๆ ในวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสำคัญของแผนงาน รวมไปถึงเหตุผลว่า ทำไมเราต้องทำงานอย่างมีแบบแผนด้วย? ไม่ได้ชวนให้คิดตามมานานพอสมควรแล้ว...งั้นก็ขอชวนให้คิดกันสักหน่อยครับ ว่า ทำไมกันหนอ การทำงานอย่างมีแบบแผนจึงสำคัญ? ให้เวลาคิดสัก 5 นาที นะครับ ^^ ... หากว่าตอบคำถามได้ว่า "โจรสลัด" ต่างจาก "กองทัพเรือ" อย่างไร?...ก็อาจจะอนุมานได้ว่า เราคงเข้าใจเรื่...

Post#4-062: เสียดายจัง?

Post#4-062: มื้อค่ำที่ผ่านมา...เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง นัดผมมาทานข้าวด้วย เนื่องจากไม่ได้เจอกันนานพอดู ระหว่างทานข้าว...ไม่ได้คุยอะไรกันมากไปกว่าการสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันและกัน...แล้วก็คุยกันเรื่องธุรกิจที่ต่างคนกำลังทำอยู่ เนื่องจากผมทำธุรกิจหลายอย่างหน่อย...ก็เลยมีเรื่อง update ให้เพื่อนฟังเยอะ...รวมถึงเรื่องธุรกิจบางอย่างที่ไม่ประสบความสำเร็จด้วย ... ตอนหนึ่งของการสนทนา...เพื่อนผมถามว่า ไม่เสียดายเงินบ้างหรือ กับธุรกิจที่ล้มเหลวไป เพราะเม็ดเงินลงทุนก็มากโขอยู่ ผมยิ้ม...และตอบว่า จะไม่เสียดายเลยก็ไม่ใช่...เรียกว่า "ทำใจยอมรับได้" นั้น น่าจะเหมาะกว่า เปล่าประโยชน์ที่จะมัวนั่งคร่ำครวญและเสียดายกับสิ่งที่พลาดไปแล้ว...แต่น่าจะเรียนรู้จากความล้มเหลว เพื่อให้เดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างผิดพลาดน้อยลง ... ความจริง ชีวิตคนเรา ก็คล้ายๆ กับกีฬาอยู่เหมือนกันครับ คือ ถ้าลงแข่ง ก็มีโอกาสทั้งแพ้และชนะ...แต่ถ้าไม่ลงแข่ง ยังไงก็มีแต่แพ้ ถ้าอยากชนะ ก็ต้องหมั่นฝึกซ้อม ศึกษาทีม และต้องศึกษาคู่แข่งไปด้วยเช่นกัน และเมื่อลงแข่ง...ก็ต้องเอาจริงเอาจัง สู้ให้เต็มที่...อย่าไปมัวกล้...

Post#4-061: เป็นได้แค่ธุลีหนึ่ง

Post#4-061: คุณเชื่อเรื่องผีมั๊ยครับ? แล้วเรื่องมนุษย์ต่างดาวล่ะครับ? เรื่องแรกเป็นไสยศาสตร์ ส่วนเรื่องหลังเป็นวิทยาศาสตร์...ซึ่งทุกคนก็ล้วนทราบดีว่า ต่างก็เป็นเรื่องยังพิสูจน์ไม่ได้แบบจะแจ้ง...ทั้งคู่ ... เราพิสูจน์เรื่องชีวิตหลังความตายไม่ได้...ด้วยเหตุเพราะระดับแห่งจิตของเรายังไม่ถึงขั้น ส่วนเรื่องมนุษย์ต่างดาว...เราพิสูจน์ไม่ได้เพราะระดับเทคโนโลยีของเรายังไม่สูงพอ แต่น่าแปลกที่เมื่อศึกษาไปถึงระดับหนึ่ง...Guru พบว่า ทั้งเรื่องผีและเรื่องมนุษย์ต่างดาว ต่างก็เป็นเรื่องเดียวกัน ที่ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะต่างก็อ้างอิงข้อมูลการค้นพบของทั้งสองเรื่องนี้ ด้วยญาณหยั่งรู้ขององค์พระสัพพัญญู ทั้งสิ้น และเราต่างก็ไม่มีวันฟันธงได้ว่า "จริงหรือไม่" จนกว่าจะได้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนมีกำลังของจิตและอภิญญาไปถึงระดับนั้นๆ ... ทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าเรื่องไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ไม่น่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน...แต่ที่แท้ล้วนเป็นเรื่องที่มีรากเหง้ามาจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน แปลกมั๊ยล่ะครับ? เมื่อศึกษาวิทยาศาสตร์ไปถึงระดับหนึ่ง กลับต้องอธิบายถึงการค้นพบและตรรกะด้วยวิชาแห่งจิ...

Post#4-060: ตลกเพราะไม่ตลก

Post#4-060: หนึ่งในอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลของมุขคลาสิกที่คนที่อาศัยในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะคุ้นเคย ก็คือ "มุขควาย" ^^ อันว่านิยามของมุขควายนั้น ก็คือ มุขตลกที่ไม่ตลก...และเพราะว่ามันไม่ตลก มันก็เลยตลก...ไม่งงใช่มั๊ยครับ? บางมุขปล่อยออกมาแล้ว กลายเป็นมุข "ฮากริบ" คือหลังจากปล่อยไปแล้ว จะมีความเงียบเข้ามาแทรกกลาง แบบ "สตั๊นท์" ไปชั่วครู่...หลังจากนั้น เสียงหัวเราะแบบเยาะหยันก็จะตามมา ... บ่อยครั้งชีวิตเราก็เป็นเหมือนมุขควาย...คือ มันไม่ตลกเอาเสียเลย... และเมื่อมันไม่ตลกจนถึงที่สุดแล้ว...เราคงอดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะให้กับมัน คงเพราะขืนมัวแต่เศร้าอยู่อย่างนั้น...ถามจริงๆ ครับ ว่ามันจะได้อะไรขึ้นมา...เราจะเศร้าจนได้รับ Oscar Award หรือไงเอ่ย? ก็เหมือนกับมุขควายนั่นไงครับ...เมื่อใครปล่อยมุขควายออกมา...เราทำได้ทั้งกระแนะกระแหนจนใครคนนั้นไม่มีที่ยืน พร้อมๆ กับที่ตัวเราเองก็มีแต่ความไม่รื่นรมย์ไปด้วย หรือเราอาจจะเลือกการล้อเลียนหรือเยาะเย้ยให้เรื่องไม่ตลกกลายเป็นตลกไปเสีย...ก็ทำได้อีกเหมือนกัน ... ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่า ชีวิตเริ่มเป็...

Post#4-059: ถูกตรวจสอบ

Post#4-059: เมื่อครู่ใหญ่ๆ นี้เอง ผมได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ถึงเรื่องการถูกตรวจสอบจาก Internal Auditor ในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบงาน เนื่องจาก เพื่อนของผมคงยังไม่เคยชินกับการคุยกับ Internal Auditor จึงทำให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย...อารมณ์เหมือนโดนรุมสับอยู่ข้างเดียว เสมือนว่างานที่กำลังทำอยู่ ไม่มีอะไรถูกต้องเลยเสียอย่าง...ซึ่งทำเอาเสียกำลังใจไปเยอะทีเดียว ผมเองก็เคยเจอ...และต้องบอกว่า ทุกวันนี้ก็ยังต้องเจอการตรวจสอบคล้ายๆ กันนี้ อยู่เป็นประจำ ... ต้องเข้าใจก่อนว่า กลุ่มคนที่มาตั้งคำถามเรามากมายนั้น...เป็นเพราะหน้าที่ของพวกเค้า ต้องตั้งข้อสงสัย ทำไมต้องทำแบบนั้น, ทำไมไม่ทำแบบนี้, งานนี้มีจุดสอบทานตรงไหน, มีการเก็บสถิติไว้หรือไม่, แผนสำรองคืออะไร, และอีกสารพัดคำถามที่บางครั้งเราก็แอบคิดในใจว่า จะถามยากไปมั๊ย? แต่ผมมองว่า คำถามเหล่านี้ถือเป็นกระจกสะท้อนงานของเรา...ว่ารัดกุมพอมั๊ย, ครบถ้วนหรือยัง และรวมไปถึงทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้มั๊ย? ... ช่วงแรก คนที่ถูกถาม จะรู้สึกเหมือนอะไรต่อมิอะไรมันก็ยุ่งยากไปเสียหมด และมีอันต้องประเดประดังเข้ามาพร้อมๆ กันเสียด้วย ทั้งนี้ก็เ...

Post#4-058: School Bullying

Post#4-058: หนึ่งในปัญหาที่พ่อแม่ต่างไม่อยากให้ลูกๆ เเจอเลยก็คือ การกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน หรือที่เราคุ้นเคยกันดีว่า School Bullying ส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย และไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถแก้ได้ด้วยครูเพียงลำพัง ผมหมายถึง เราจำเป็นต้องสอนลูกให้รู้จักป้องกันตัวเองและไม่พาตัวเองไปอยู่ในความเสี่ยงแบบนี้ด้วยเช่นกัน ... อันดับแรกเลย เราจำเป็นต้องอธิบายให้ลูกๆ เข้าใจก่อน ว่า School Bullying เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง...พูดตรงๆ ก็คือ ต้องสอนลูกให้อย่าไปแกล้งคนอื่น เรื่องต่อมา คือ ต้องสอนให้ลูกรู้จักเลือกคบเพื่อนให้ดี อย่าไปคลุกคลีกับเด็กที่ชอบแกล้งคนอื่น...ซึ่งการไม่ไปคลุกคลีนั้น ไม่ใช่ไปตั้งป้อมรังเกียจ แต่หมายถึงมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กกลุ่มนี้แบบปกติ คุยได้ แต่ไม่ไปสุงสิงด้วย ที่สำคัญคือ ต้องสอนให้ลูกอย่ากลัวที่จะ fight back หากว่ายังถูกแกล้งไม่เลิกเสียที...ถ้ามัวแต่หงอ ก็เตรียมใจโดนแกล้งไปตลอดแน่ๆ ทั้งนี้และทั้งนั้น เราจะต้องสอนให้ลูกแยกแยะระหว่างการ "หยอก" กับการ "แกล้ง" ให้ออกนะครับ ... สำหรับการตอบโต้ School Bullying นั...

Post#4-057: อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง

Post#4-057: แม้ผมจะเชื่ออยู่แก่ใจว่า ความยุติธรรม เป็นสิ่งที่หาได้ยากเหลือเกินในโลก...หากแต่ ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ก็ควรธำรงไว้ซึ่ง ความไม่เอารัดเอาเปรียบ ซึ่งกันและกัน บางเรื่องนายจ้างต้องยอมเสียเปรียบ และก็เป็นความอันควรที่ลูกจ้างอาจต้องยอมเสียเปรียบในบางเรื่อง เช่นกัน ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องเป็นฝ่ายเสียสละแต่เพียงฝ่ายเดียว แบบตลอดกาล ... เรื่องหนึ่งที่ผมไม่ค่อยจะยอมทนในฐานะฝ่ายนายจ้างก็คือ ความไม่ใส่ใจในหน้าที่ ของลูกจ้าง...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเดือนสุดท้าย หลังจากที่เขาหรือเธอตัดสินใจยื่นใบลาออก ตัวผมเองก็ "เคย" เป็นลูกจ้างมืออาชีพมานานหลายสิบปี และปัจจุบัน ก็อยู่ในสถานะเป็นทั้งนายจ้างและลูกจ้าง...ดังนั้น ผมจึงเข้าใจมุมมองของทั้งสองฝ่ายได้เป็นอย่างดี และเมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เป็นลูกจ้าง...ผมก็เคยเป็นทั้งลูกจ้างที่ปล่อยปละละเลยในเดือนสุดท้ายของการจ้าง และเคยเป็นทั้งลูกจ้างที่ทุ่มเทสุดๆ ในเดือนสุดท้ายของการจ้าง เช่นกัน ถึงตรงนี้แล้ว ผมคงไม่ต้องบอกว่า แบบไหนเป็นแบบอย่างที่ถูกต้อง...กระมังครับ? ... โดยปกติ เดือนสุดท้ายของการทำงาน ผมมักพบว่า ลู...

Post#4-056: มีดีที่ซุป

Post#4-056: มื้อค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้มาทานข้าวกับพี่ S (ที่เคยเขียนถึงไว้ใน Post#3-283) และเพื่อนชาวต่างชาติอีกคนหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ Mr.K นะครับ) ระหว่างทานข้าว เราก็คุยกันหลายต่อหลายเรื่อง...และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของความน่าอัศจรรย์ของอาหารจีน มีอาหารอยู่จานหนึ่งที่เราสั่งมาทาน...พี่ S เล่าให้ฟังว่า ต้องเคี่ยวกระดูกหมูนานกว่า 8 ชั่วโมง เพื่อที่จะให้ได้น้ำซุปแบบนี้ ผมทานแล้ว...ก็ได้แต่ยอมรับว่า เออหนอ รสชาติของซุปนั้น ไม่ได้หาทานได้ทั่วๆ ไปจริงๆ ... ย้อนหลังไปกว่า 25 ปีก่อน...คราวที่ผมเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก ผมไปประเทศฮ่องกง และจำได้ว่า หนึ่งในอาหารที่ได้ทาน ก็คือน้ำซุปนี่แหละ คราวนั้น แปลกใจว่า ทำไมผู้ใหญ่ตักแต่น้ำซุป ไม่แตะต้องเนื้อหมูที่นุ่มอร่อยในหม้อเลย...ส่วนผมน่ะ เลือกตักแต่เนื้อหมู ส่วนน้ำซุปน่ะไม่เน้น ผ่านมาอีกหลายปี จึงรู้ว่า ที่ผู้ใหญ่ทานแต่ซุป ก็เพราะความอร่อยทั้งหลายนั้น ไปรวมอยู่ในน้ำซุปหมดแล้ว...โดยเฉพาะเนื้อหมูน่ะ แทบจะไม่มีรสชาติใดๆ เหลืออยู่อีก ... อีกคราวที่ได้ไปประเทศเกาหลีครั้งแรก...ก็มีโอกาสได้ทานซัมกเยทัง (หรือไก่ตุ๋นโสม) ครั้งแรก ตอนนั้น...