Skip to main content

Post#4-082: เสียชาติเกิดมั๊ยนะ?

Post#4-082:
ชะรอยคงเป็นเพราะผมมีเวลาว่างระหว่างลอยอยู่บนท้องฟ้ามากจนเกินไปกระมังครับ...จู่ๆ ผมก็คิดถึงเรื่องราวของชีวิตขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ถือเสียว่า อ่านกันเพลินๆ คุยกันขำๆ ก็แล้วกันนะครับ...

ถ้าสมมติว่า อายุขัยเฉลี่ยของคนเราอยู่ที่ 75 ปี โดยประมาณ...นั่นก็แปลว่า เรามีเวลาอยู่บนโลกแต่ 27,375 วัน เท่านั้นเอง

ไม่มีทางเลือกที่จะต้องหักเวลานอนออกไปเสีย 1/3 ก็แปลว่า เวลาหายวับไปในพริบตาถึง 9,125 วัน...ไม่เป็นไรน่า...ยังเหลืออีก 18,250 วัน

งั้นไปต่อนะครับ...หักเวลาช่วงวัยเด็ก ที่เราไม่สามารถดูแลชีวิตตัวเองได้ ไปอีก 3,650 วัน (นี่คือเทพแล้วนะครับ เพราะแปลว่าเราเลี้ยงตัวเองได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี)

เหลือเท่าไหร่แล้วนะ?...ยังครับ ยังหักไปไม่พอ...ว่าแล้ว ก็มาหักกันต่อ แต่ผมจะหักแบบหยวนๆ ก็แล้วกัน

รถติดอยู่บนท้องถนน หักไปวันละ 2 ชั่วโมง, หักเวลากินข้าว วันละ 2 ชั่วโมง, เวลาเข้าห้องน้ำ วันละ 2 ชั่วโมง...พอก่อนละกันครับ

ก็สรุปได้ว่า หายไปอีก 5,475 วัน (นี่ผมคิดเฉพาะเกินอายุ 15 มาแล้วเท่านั้นนะครับ...ก็บอกแล้วว่าหักแบบหยวนๆ)

เอาล่ะ...ตกลง เราเหลือเวลาที่จะทำอะไรต่อมิอะไรแค่ไหนกันแน่นะ?

อ้อ...เหลืออยู่ 9,125 วัน...อะไรนะ! เหลือแค่นี้จริงหรือ?

...

ผมอาจจะคิดสุดโต่งไปบ้าง...แต่ถ้าเชื่อตามผม...จาก 27,375 วัน ก็จะเหลือเวลามาให้เราบริหารแค่ 9,125 วันเท่านั้น!

จาก 75 ปี ที่ดูเหมือนยาวนาน...เราเหลือเวลาแค่ 25 ปี แค่นั้น...และนั่นแปลว่า เราต้องอยู่รอดไปจนแก่ตายได้ด้วยนะ!

ลองไปค้นสถิติการตายของคนไทยจาก Google กันดูมั๊ยครับ?...จะได้ช่วยกันตกใจ

เอาล่ะ! เวลาเหลือน้อยมากแล้ว...ผมบอกให้เลยก็ได้ครับ ว่าใน 100 คน เหลือไปจนแก่ตายได้แค่ 10 คน

ก็แล้วเราจะได้เป็น 1 ใน 10 คนนั้นมั๊ยหนอ?

...

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้...บอกตรงๆ ว่า ผมแอบละอายแก่ใจอยู่ไม่น้อยเลย

เพราะต่อให้โชคดีอยู่รอดไปจนเข้ารอบ 1 ใน 10 ได้จริงๆ...ผมก็ไม่น่าจะจำได้และคำนวณถูก...

ว่า ที่ผ่านมา ผมได้ผลาญเวลาไปกับการโกรธ, เกลียด, อาฆาต, พยาบาท, มัวเมา, ลุ่มหลง, ขี้เกียจ และอีกหลากหลายมิจฉาอารมณ์ ที่ล้วนยังประโยชน์ไม่...ไปแล้วเท่าไหร่?

แล้วในช่วงชีวิตที่ยังพอเหลืออยู่ล่ะ...จะยังคง "ผลาญเวลา" ไปกับเรื่องแบบนี้ไปอีกเท่าไหร่กันนะ?

...

ถ้าเชื่อตามการคำนวณของผม...ก็แปลว่า คนเราอาจมีเวลาพิสูจน์ตัวเองว่า "เกิดมาเสียชาติเกิด" หรือไม่...น้อยกว่าที่เราคิดไว้ "มาก" ก็เป็นได้

ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจและตระหนักรู้ไว้ก่อนนะครับ...ว่าต่อให้เราใช้เวลาที่เหลือเป็นอย่างดี...ก็ยังไม่แน่ว่า เราจะมี "ชาติหน้า" ให้เกิดมาแก้ตัวอีกหรือไม่

มิพักพูดถึงคนที่ "เสียชาติเกิด"...ที่คงยากกว่ายาก ที่จะได้กลับมาเกิดเป็น "มนุษย์" ในทันที...เพื่อให้มีโอกาสแก้ไข "กรรมเก่า" อีกครั้ง

...

เราคงไม่อาจห้ามตัวเองได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือตัดขาดจาก "มิจฉาอารมณ์" ได้โดยง่าย

แต่ผมเชื่อว่า เราสามารถ "รู้ทัน" หรือ "รีบระงับ" มันได้...หากว่า เรา "คิดเป็น" และ "คิดได้"

...ก็เพราะเวลาที่เหลืออีกแค่ 33% ของชีวิตนั้น...เป็นเรื่องที่เราต่างต้องเลือกเอง...ว่าจะ "ใช้", "จัดสรร" หรือ จะ "ผลาญ" กันแน่?...

#ว่างมากสินะ #แก่แล้วสินะ #พึมพัมอะไรนะ #เหลือน้อยแล้วนะ #เสียชาติเกิดมั๊ยนะ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...