Post#4-079:
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผมกำลังนั่งงงๆ ทบทวนชีวิตในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา อยู่ที่สนามบินชางกี ที่ประเทศสิงคโปร์
ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบที่ผมมี...และให้บังเอิญเป็นงานที่มอบหมายให้ใครไปทำแทนก็ไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้ตารางงานของผมในช่วงปีหลังๆ นั้น แสนจะวุ่นวาย
และบ่อยครั้ง ที่มันทำให้ผมต้องบินแบบเช้าไปเย็นกลับ (One Day Trip) ระหว่างเมืองไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเมียนมาร์, สิงคโปร์ หรือฮ่องกง...ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
แม้ผมจะไม่รังเกียจการเดินทาง...แต่มาเจอ One Day Trip บ่อยๆ แบบนี้...ก็ทำเอาเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว
...
แต่จะว่าไป ก็ใช่ว่า One Day Trip จะมีแต่ข้อเสียเพียงเท่านั้น...แท้จริงแล้ว ผมพบว่า มันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน
ข้อดีก็คือ มันทำให้เราเห็นสัจธรรมได้ชัดเจนว่า หากเราไม่คิดจะหยุดนิ่งแล้วไซร้ เวลาหนึ่งวันก็มากพอที่เราจะใช้พาตัวเองไปได้ไกลกว่าที่คิด
เช่นวันนี้ ที่ผมไม่มีเวลามามัวโอ้เอ้หรือเอ้อระเหยลอยชายอยู่...จึงทำให้สามารถคุมการประชุมให้มีข้อสรุปได้ในเวลาที่กำหนด...ทั้งที่มันเป็นหัวข้อการประชุมที่หนักหนาและสำคัญขนาดที่ต้องบินมาคุยกันแบบ face-to-face
...
ยิ่งทบทวนซ้ำไปมา...ผมก็ยิ่งมั่นใจว่า ที่เค้าว่ากันไว้ว่า Time and Tide wait for no man นั้น...มันช่างจริงเสียนี่กระไร
มันหมายความว่า หากเราไม่มัวแต่หาข้ออ้างนั่น นู่น นี่...เวลา 16 ชั่วโมงในแต่ละวัน (ไม่นับเวลานอน) ก็มากพอให้เราได้ใช้ทำเรื่องต่างๆ ได้มากมาย
และก็แปลว่า...ถ้าผมสามารถบริหารเวลาในวันอื่นๆ ได้ เหมือนวันที่ผมต้องเดินทางแบบ One Day Trip...ผมคงจะมี Productivity เพิ่มขึ้นอีกเยอะ
...
แน่นอนว่า คนเราล้วนมีเวลาในแต่ละวันเท่ากัน...หากแต่คนเราต่างมีความตั้งใจและความสามารถในการบริหารเวลาไม่เท่ากัน
...มันจึงขึ้นอยู่กับเราเองโดยแท้ ว่าจะทำให้เวลานั้น "มีค่า" หรือ "สูญเปล่า"
...และมันย่อมจะขึ้นอยู่กับมุมมองของเราเองว่า เรามีเวลา "ตั้ง" 24 ชั่วโมง หรือมีเวลา "แค่" 24 ชั่วโมง...
#มีค่าหรือสูญเปล่าเราเลือกได้ #เข็มยังกระดิกแล้วทำไมเราอยู่เฉยๆ #เราไม่มีเวลาหรือเราไม่จัดสรรเวลา
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผมกำลังนั่งงงๆ ทบทวนชีวิตในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา อยู่ที่สนามบินชางกี ที่ประเทศสิงคโปร์
ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบที่ผมมี...และให้บังเอิญเป็นงานที่มอบหมายให้ใครไปทำแทนก็ไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้ตารางงานของผมในช่วงปีหลังๆ นั้น แสนจะวุ่นวาย
และบ่อยครั้ง ที่มันทำให้ผมต้องบินแบบเช้าไปเย็นกลับ (One Day Trip) ระหว่างเมืองไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเมียนมาร์, สิงคโปร์ หรือฮ่องกง...ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
แม้ผมจะไม่รังเกียจการเดินทาง...แต่มาเจอ One Day Trip บ่อยๆ แบบนี้...ก็ทำเอาเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว
...
แต่จะว่าไป ก็ใช่ว่า One Day Trip จะมีแต่ข้อเสียเพียงเท่านั้น...แท้จริงแล้ว ผมพบว่า มันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน
ข้อดีก็คือ มันทำให้เราเห็นสัจธรรมได้ชัดเจนว่า หากเราไม่คิดจะหยุดนิ่งแล้วไซร้ เวลาหนึ่งวันก็มากพอที่เราจะใช้พาตัวเองไปได้ไกลกว่าที่คิด
เช่นวันนี้ ที่ผมไม่มีเวลามามัวโอ้เอ้หรือเอ้อระเหยลอยชายอยู่...จึงทำให้สามารถคุมการประชุมให้มีข้อสรุปได้ในเวลาที่กำหนด...ทั้งที่มันเป็นหัวข้อการประชุมที่หนักหนาและสำคัญขนาดที่ต้องบินมาคุยกันแบบ face-to-face
...
ยิ่งทบทวนซ้ำไปมา...ผมก็ยิ่งมั่นใจว่า ที่เค้าว่ากันไว้ว่า Time and Tide wait for no man นั้น...มันช่างจริงเสียนี่กระไร
มันหมายความว่า หากเราไม่มัวแต่หาข้ออ้างนั่น นู่น นี่...เวลา 16 ชั่วโมงในแต่ละวัน (ไม่นับเวลานอน) ก็มากพอให้เราได้ใช้ทำเรื่องต่างๆ ได้มากมาย
และก็แปลว่า...ถ้าผมสามารถบริหารเวลาในวันอื่นๆ ได้ เหมือนวันที่ผมต้องเดินทางแบบ One Day Trip...ผมคงจะมี Productivity เพิ่มขึ้นอีกเยอะ
...
แน่นอนว่า คนเราล้วนมีเวลาในแต่ละวันเท่ากัน...หากแต่คนเราต่างมีความตั้งใจและความสามารถในการบริหารเวลาไม่เท่ากัน
...มันจึงขึ้นอยู่กับเราเองโดยแท้ ว่าจะทำให้เวลานั้น "มีค่า" หรือ "สูญเปล่า"
...และมันย่อมจะขึ้นอยู่กับมุมมองของเราเองว่า เรามีเวลา "ตั้ง" 24 ชั่วโมง หรือมีเวลา "แค่" 24 ชั่วโมง...
#มีค่าหรือสูญเปล่าเราเลือกได้ #เข็มยังกระดิกแล้วทำไมเราอยู่เฉยๆ #เราไม่มีเวลาหรือเราไม่จัดสรรเวลา
Comments
Post a Comment