Skip to main content

Post#4-243: Paradox บน Social Network

Post#4-243:
เคยได้ยินคำว่า "Paradox" บ้างมั๊ยครับ?

ใครที่เปิด Dictionary หรือใช้ Google Translate ก็จะรู้ว่า Paradox นั้น แปลประมาณว่า คำพูดที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน

แต่ในที่นี้ผมอยากจะนิยามมันว่า "พฤติกรรมขัดแย้ง"...ซึ่งเป็นอะไรที่เราเจอกันบ่อยๆ ใน Social Media ต่างๆ

...

ความจริงพื้นที่บน Cyberspace ของเรา...มันก็ควรจะเป็นพื้นที่ของเรา นั่นก็หมายความว่า เราอยากจะ post, อยากจะ show หรืออยากจะทำอะไรก็ได้...ไม่ใช่หรือ?

อืมมม...ผมว่ามันแค่ "ดูเหมือน" จะไม่ผิด...แต่มันก็ "ไม่ถูก" แน่ๆ ครับ

เพราะอะไรที่เราไม่อยากให้คนอื่นๆ มีส่วนร่วมหรือรับรู้ในเรื่องราวใดๆ ที่เป็น "private" น่ะ...เราก็ไม่ควรจะ upload ขึ้นไปบน Cyberspace ตั้งแต่แรกแล้ว

ทันทีที่เรา upload...นั่นหมายความว่า เราเองนั่นแหละที่ยินยอมให้มีการละเมิดความเป็นส่วนตัวโดยปริยาย

บางคนบอกว่า "ต้องการบันทึกไว้ดูเองเป็นการส่วนตัว"...งั้นคงต้องถามตัวเองหนักๆ หน่อยล่ะครับ ว่าเลือกใช้ "วิธีบันทึกความทรงจำ" ที่ผิดประเภทรึเปล่า?

...

รวมความแล้ว...ถ้าอยากเป็นส่วนตัว ก็ไม่ควร "เผือก" เอาเรื่องของตัวเองไปอยู่บน Cyberspace

ยิ่งพวกรับฟังความจริงหรือความเห็นที่แตกต่างไม่ได้...ยิ่งไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเอาเรื่องของตัวเองไปเปิดเผย หรือไป share

ส่วนพวกที่ไปแอบส่องเรื่องชาวบ้าน...จะ comment หรืออื่นๆ ก็ควร "เผือก" อย่างมีสตินะครับ...สำเนียกเรื่อง พรบ.คอมพิวเตอร์ ไว้บ้าง

และต้องทำใจไว้ล่วงหน้านะครับ ว่าอะไรที่เรา upload ขึ้น Cyberspace นั้น...มันยากที่เราจะประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้

ว่าง่ายๆ ก็คือเมื่อเราเลือกจะ "แชร์" ก็ต้องทำใจกับการโดน "แฉ" ด้วย

ดังนั้น ถ้ารู้ว่ามีความเสี่ยงที่จะเสียใจภายหลัง ก็อย่าเริ่ม ตั้งแต่แรก...ไม่ใช่จะ post เอามันส์จนลืมคิดถึงเรื่องวันข้างหน้า

...ริจะอยู่บน Cyberspace ก็ควรจะเลิกหงายการ์ด "นี่มันพื้นที่ส่วนตัว" กับการ์ด "รู้เท่าไม่ถึงการณ์" เสียทีครับ...

#NoteToSelf:

  • อยากโชว์, อยากอวด แต่หวงความเป็นส่วนตัว...ไม่ใช่ paradox แล้วจะเป็นอะไร?
  • ตั้งสติก่อนจะ post, และควรตั้งสติให้มากกว่าตอนจะ response ในแต่ละ post
  • ก่อนหงายการ์ด...คิดดีๆ ก่อนว่า จริงๆ แล้ว เราเป็นฝ่ายผิดรึเปล่า?

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...