Skip to main content

Post#4-262: คุยกันไปคุยกันมา

Post#4-262:
บ่ายที่ผ่านมานี้เอง...ผมมีประชุมในระดับ "ไตรภาคี" ร่วมกับโรงงานและลูกค้า...เพราะคุยกันทีละรอบทีละฝ่าย หลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่จบเสียที

เอาจริงๆ...นี่ก็คือชีวิตจริงของการทำงานที่เราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้เลย

แม้จะคุยเรื่องเดียวกัน แต่ต่างเวลา และต่างคู่เจรจา...แต่ดูเหมือนความเข้าใจจะไม่เคยถูกต้องตรงกัน

เราคุยกับโรงงานแบบนึง, โรงงานไปสื่อสารกับลูกค้าแบบนึง และลูกค้าก็มาคุยกับเราอีกแบบนึง...เรื่องมันถึงยุ่งขิงอีรุงตุงนังเสียจนน่าปวดหัว

...

ที่เป็นแบบนี้ เพราะเรามักจะใช้กรอบประสบการณ์และกรอบความคิดของตัวเราเองเป็นตัวตั้ง

สุดท้ายแล้ว ความจริงที่เรารับรู้กับความจริงที่ฝ่ายอื่นรับรู้...จึงมักกลายเป็นคนละเรื่องไปเสียมากครั้ง

รวมความแล้ว ก็เพราะ "คิดไปเอง", "ทึกทักไปเอง" หรือไม่ก็ "สรุปเอาเอง" ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้

ดังนั้น การพูดคุยพร้อมๆ กัน เพื่อให้ความเข้าใจตรงกันจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

และจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องสรุปเป็นบันทึกความเข้าใจร่วมกัน เพื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป ก็จะไม่เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนอีก

...

ตอนคุยกัน จึงต้องใช้การ "ฟัง" ไม่ใช่แค่ "ได้ยิน"...และเราต้องไม่ปล่อยประเด็นที่ไม่ชัดเจนให้ผ่านไป โดยไปสรุปเอาเอง

ยอมใช้เวลาในการพูดคุยหรือประชุมร่วมกันให้มากหน่อย...ดีกว่าที่จะต้องไปเสียเวลาโดยใช่เหตุในการแก้ปัญหาในภายหลัง

เมื่อประชุมทำความเข้าใจร่วมกันแล้ว...ทำบันทึกความเข้าใจก็แล้ว...ยังขาดไม่ได้ที่จะต้องตรวจสอบเป็นระยะๆ ว่าแต่ละฝ่ายยังทำตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ด้วยครับ

...เพราะฉะนั้น จงอย่าคิดเองเออเอง...หาไม่แล้วก็จะเจ็บเองนะเออ...

#NoteToSelf: 

  • ฟังฝ่ายหนึ่งเล่าเหตุการณ์ก็อย่าพึ่งปักใจเชื่อทั้งหมด...ลองคุยด้วยตัวเองดู และฟังอีกฝ่ายบ้าง...บางทีคำตอบอาจจะไม่เหมือนกันเลยก็เป็นได้
  • คุยกับเจ้าของก็แบบนึง และคุยกับทีมทำงานก็แบบนึง...เพราะจุดมุ่งหมายต่างกัน จึงมี "ธง" ในใจที่ต่างกัน
  • พูดคุยต้อง "ฟัง", สรุปกันต้อง "ชัด" และหมั่นตรวจสอบโดยไม่ "ละเลย"

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...