Skip to main content

Post#4-253: ค่าประสบการณ์มันแพงไปมั๊ย?

Post#4-253:
แม้จะมีคำกล่าวว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ" ก็ตาม...

แต่ผมก็มองไม่เห็นความจำเป็นว่า เราต้องทดลองทุกเรื่องทุกอย่าง ด้วยตัวเองเสมอไป

โดยเฉพาะเรื่องที่ทำแล้ว ไม่ยังประโยชน์ใดๆ ให้กับตัวเรา

...

ประสบการณ์บางเรื่องบางอย่าง...เราจำเป็นต้องทดลองทำเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และกลายเป็นความสามารถติดตัว ที่อาจนำไปต่อยอดได้ในอนาคต

แต่บางเรื่องบางอย่าง...การลงมือทำเอง อาจกลายเป็นการจ่ายค่าประสบการณ์ที่ "ได้ไม่คุ้มเสีย" เอาเสียเลย

เช่น มีใครมาบอกว่า เอานิ้วไปลนไฟแล้วเป็นแบบไหน ถามว่า เราจำเป็นต้องไปทดลองด้วยตัวเองรึเปล่า?

ดังนั้น ถ้าจะทดลองทำอะไรใหม่ๆ เพื่อให้เป็นประสบการณ์ตรง...ก็จงต้องมั่นใจว่า ประสบการณ์ที่จะทดลองทำนั้น จะไม่กลายเป็น "ประสบการณ์โง่ๆ" ที่เราลงแรงไปโดยไม่คุ้มค่า

...

ความจริงแล้ว การต่อยอดจากองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่นั้น เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้วเป็นปกติ

แต่เราจำเป็นต้องแยกให้ออกอย่างชัดเจน ว่า "การต่อยอด" นั้น แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับ "การเลียนแบบ"

การต่อยอดมีพื้นฐานจากการเลียนแบบ แล้วพัฒนาให้กลายเป็นรูปแบบเฉพาะของตัวเอง

ส่วนการเลียนแบบคือการนำไอเดียของผู้อื่นมาใช้แบบทื่อๆ โดยไม่มีความแตกต่างจากต้นฉบับ

...

ถ้าเราจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว...เราจึงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากทำฟาร์มเลี้ยงหมู หรือเปิดโรงงานทำเส้นก๋วยเตี๋ยว

เราสามารถต่อยอดด้วยการไปซื้อหมูและเส้นก๋วยเตี๋ยวมาเป็นวัตถุดิบในการทำก๋วยเตี๋ยวได้เลย...โดยสร้างอัตลักษณ์จาก "น้ำซุป" หรือเรื่องอื่นๆ แทน

บางเรื่องบางอย่าง เราจึงไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจาก "ศูนย์"...เรียกว่า ไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะลงทุนหรือลงแรงมหาศาล เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ไม่ดีไปกว่าของเดิมที่มีอยู่

...ดังนั้น จงจำไว้ ว่าอย่าจ่ายค่าประสบการณ์แบบ "ได้ไม่คุ้มเสีย" และการต่อยอดนั้น แตกต่างจากการเลียนแบบ...

#NoteToSelf: 

  • ถ้าต้องพิสูจน์อะไรบางอย่าง แล้วทำให้ตัวเราตกอยู่ในความเสี่ยงจนเกินไป...จะมีประโยชน์อะไรที่จะทำ?
  • ถ้าจะเอาดีด้านเลียนแบบ...ก็เป็นได้แค่ "ผู้ตาม" ไปตลอดกาล
  • คนฉลาดต้องรู้จักต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่เดิม...โดยใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...