Post#4-258:
ใครที่รู้จักกับผมมานาน จะทราบดีว่า ผมเป็นพวก "ชีพจรลงเท้า"...คือเดินทางบ่อยเสียจนน่าตกใจ
แม้ว่าผมจะชอบเปิดหูเปิดตาและเปิดโลกด้วยการเดินทาง...แต่ถ้าบ่อยเกินไป ผมก็ออกจะเซ็งๆ อยู่ไม่น้อย เพราะอยากอยู่บ้านกับลูกเสียมากกว่า
แต่ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบที่ค้ำคอ...ผมจึงไม่อาจจะอุทธรณ์หรือฎีกาใดๆ ได้เลย
...
อย่างไรก็ตาม...สำหรับผมแล้ว การที่ต้องจากไปไกลบ้านอยู่บ่อยครั้ง ก็มีข้อดีในตัวอยู่เช่นกัน
ข้อดีที่ว่าก็คือ มันทำให้ผมเห็นความสำคัญของสิ่งที่มีมากขึ้น
มันทำให้ผมรู้ดีที่สุดว่า การต้องจากบ้านและคนที่เรารักไปไกลๆ บ่อยๆ นั้น มันเป็นความทรมานไม่น้อย
และมันทำให้ผมรู้ซึ้งถึงความสำคัญของเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันกับคนที่เรารัก...โดยเฉพาะกับลูกสาว
...
แปลกแต่จริง...ที่คนเรามักไม่ค่อยเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีและคนที่อยู่ใกล้ๆ
และมักจะปล่อยให้สูญเสียของนั้นไปหรือพรากจากคนที่รักไป...จึงค่อยมาคิดได้
มันคือความจริงที่นับเป็นความเขลาของมนุษย์...
ที่มักจะชื่นชมสิ่งของของคนอื่น โดยไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ในมือ
ที่มักจะชื่นชมและให้ความสำคัญกับคนไกลมากกว่าคนที่อยู่ในครอบครัว
...
ต่อเมื่อสูญเสียของนั้นไป เราจึงสำนึกได้...ว่าของที่เรามีนั้น จริงๆ แล้วก็ดีพอแล้วสำหรับเรา
ต่อเมื่อคนที่เรารักจากเราไปแล้ว...ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย...เราจึงค่อยมานั่งสำนึก ว่าทำไมเราไม่เคยเห็นค่าของเค้าเลย
...หันไปมองรอบๆ ตัวบ้างเถอะครับ...แท้ที่จริงความสุขอาจจะอยู่ใกล้เรามากกว่าที่คิด ก็เป็นได้...
#NoteToSelf:
- อย่ารอให้ทุกอย่างสายเกินไป...ให้ความสำคัญกับของทุกชิ้นที่มี และรักคนใกล้ๆ ตัวให้มาก
- ของที่เราคิดว่าดีกว่าที่เรามี หรือคนที่เราคิดว่าดีกว่า...อาจจะมีอยู่จริง แต่เหมาะกับเราหรือไม่ เป็นอีกเรื่องนึง
- อย่ารอจนวันที่ไม่เหลืออะไรไว้ครอบครอง และไม่เหลือใครไว้ร่วมยินดี...จึงค่อยสำนึกได้
Comments
Post a Comment