Post#4-334:
"ในหยินมีหยาง และในหยางมีหยิน"
ผมเชื่อว่า หลายๆ คนคงเคยได้ยินประโยคที่แฝงปรัชญา ประมาณนี้มาบ้าง
แต่อะไรคือ "ในมืดมีสว่าง และในสว่างมีมืด" กันแน่?
ไม่ได้ชวนคิดมานานพอควรแล้ว...งั้นลองท้าทายความคิดตัวเองดูก่อนมั๊ยครับ?
ผมให้เวลา 5 นาทีเลย ^^
...
เอาจริงๆ มันก็แล้วแต่ ว่าใครจะตีความยังไง...สุดแท้แต่บริบทแวดล้อมและศักยภาพในการประยุกต์ของแต่ละบุคคล
แต่สำหรับผม...ปรัชญานี้ ต่อยอดทางความคิดได้อย่างมากมาย แถมยังนำมาใช้เตือนสติได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ในยามที่ชีวิตต้องผ่านพบกับความท้อแท้สิ้นหวังต่างๆ
...
ก็เพราะเราไม่อาจสมหวังได้ในทุกเรื่องทุกอย่าง...บ่อยครั้งและมากหนเสียด้วยซ้ำ ที่ความผิดหวังคือสิ่งที่เราเจอที่ปลายทาง
แต่ในช่วงเวลาที่มืดมนของชีวิต เราต้องไม่ยอมให้ความสว่างในหัวใจเลือนหายไปจนเป็น "ศูนย์" ได้
ไม่ว่าแสงนั้นมันจะริบหรี่เพียงใด...เราก็จำเป็นต้องใช้พลังใจในการหล่อเลี้ยงแสงแห่งความหวังท่ามกลางความมืดมิดนั้น ไว้ให้จงได้
หากแต่ในขณะที่ชีวิตมีความสุข รุ่งเรือง และเจิดจ้า...ก็จำจะต้องเตือนตัวเองไว้ให้ดีว่า ต้องเผื่อใจไว้ยามที่อาจต้องตกต่ำบ้าง
เจ้าประกายความมืดเล็กๆ ในใจนี้...ก็เป็นอะไรที่เราไม่อาจปล่อยให้เลือนหายไปได้เช่นกัน
...
ยามท้อแท้...เราจึงไม่อาจปล่อยให้หัวใจขาดแคลน "ความหวัง"
ยามเจิดจ้า...เราก็ไม่ควรหลงระเริง จนลืมเลือน "ความขมขื่น"
...ในมืดจึงมีสว่าง และในสว่างจึงมีมืด...ด้วยประการฉะนี้...
#NoteToSelf:
- เมื่อเข้าใจปรัชญาแห่งหยินหยาง ชีวิตจึงถึงพร้อมด้วยความเข้าใจในเรื่อง "ความหวัง" และ "ความไม่ประมาท"
- สุขก็มีวันจบ และเศร้าก็มีวันจาง...ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง
- คนเข้มแข็ง คือคนที่ยังยิ้มให้กับชีวิตได้เมื่ออยู่ในห้วงทุกข์ และกลั้นน้ำตาได้เมื่อความสุขได้โบกมือลาจาก
Comments
Post a Comment