Skip to main content

Post#4-358: Sales Target

Post#4-358:
ช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้...ผมใช้เวลาค่อนข้างมากในการประชุมทีมเพื่อวางแผนเรื่อง Sales Target สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี

การทำ Sales Target นั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของทุกๆ องค์กร เพราะมันเปรียบเสมือนต้นน้ำของทุกๆ เรื่อง

หากทำ Sales Target ผิดพลาด...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตามมาก็คือความผิดพลาดไปทั้งหมด

ที่สำคัญ "ยอดขาย" นั้น ถือเป็น "ตัวชี้วัด" อันดับหนึ่งของทุกๆ องค์กรที่แสวงผลกำไร...แปลว่า ถ้าทำยอดขายไม่ได้ ไม่ว่าผลลัพธ์อื่นใดจะดีเพียงใด ก็ไม่อาจนำมาชดเชยได้

...

การจะทำ Sales Target ที่ค่อนข้างแม่นยำ จึงเป็นเรื่องของการใช้ข้อมูลในอดีตร่วมกับการคาดการณ์อนาคต

ถ้าไม่ดูข้อมูลในอดีตประกอบ...การทำ Sales Target ก็ไม่ต่างจาก "การนั่งเทียน

และหากไม่คำนึงถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดในอนาคต...ก็ไม่ต่างจาก "การปล่อยไปตามยถากรรม"

นี่เองที่ทำให้ผมต้องเคี่ยวเข็ญทีมสถิติวิเคราะห์ให้ทำการเก็บข้อมูลอย่างเคร่งครัด...กับทั้งต้องกดดันให้ทีมขายต้องคุยกับลูกค้าอย่างจริงจัง

เพราะเมื่อนำข้อมูลจากทั้ง 2 ทีมมาประกอบกัน เราจึงจะได้ภาพของอดีตและอนาคตมาประกอบกันอย่างพร้อมมูล

...

หนึ่งในข้อสังเกตที่ทีมขายจะต้องใส่ใจให้มากๆ ก็คือ Sales Target จะมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ก็จำต้องประเมินจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพื่อให้เห็นแนวโน้มของยอดขาย

ยกตัวอย่างเวลาไป "ดูหมอ" ก็ได้ครับ

ถ้าสิ่งที่หมอดูอธิบายชีวิตที่ผ่านมาของเราได้ถูกต้อง ทั้งหมอดูและตัวเรา ก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น ว่าคำทำนายหรือคาดการณ์ของหมอดูที่มีต่ออนาคตของเรา ก็น่าจะถูกต้องไปด้วย

ก็แปลว่า หากปราศจากความเข้าใจถึงที่มาที่ไปในอดีต...ก็ย่อมมิอาจคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ นั่นเอง

...และหากเราทำการกำหนด Sales Target อย่างเลื่อนลอย ก็ไม่ต้องสงสัยเลยครับ ว่าที่ปลายทาง เราจะพบกับความสำเร็จหรือไม่!...

#NoteToSelf: 

  • หากเริ่มต้นมั่วซั่ว...จะไปถึงเป้าหมายได้อย่างถูกต้องได้ไง?
  • ใครเป็นทีมขาย ก็จงเป็นทีมขายที่ขาย "ความจริง" ไม่ใช่ขาย "ความฝัน"
  • Sales Target ที่สะท้อนความจริงที่น่าชิงชัง ยังไงก็ดีกว่า Sales Target ที่สวยงามอยู่บนภาพมายา

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...