Skip to main content

Post#4-339: เยือนกรุงไทเป

Post#4-339:
ด้วยเหตุเพราะตั้งแต่เช้า...ผมจะต้องประชุมกับคู่ค้าต่างชาติ จึงทำให้ต้องบินมาที่กรุงไทเปตั้งแต่วันวาน

ผมไม่ได้มากรุงไทเปเสียนาน (ถ้าจำไม่ผิด น่าจะไม่ต่ำกว่า 7-8 ปี)...มาครั้งนี้ จึงไม่ต่างจากมาครั้งแรกสักเท่าไหร่

เอาตรงๆ ผมชอบกรุงไทเปไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, ค่าเงิน, แหล่งช้อปปิ้ง, บรรยากาศโดยรวม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็นมิตรของผู้คน

เริ่มตั้งแต่ ตม. ที่ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า พวกเค้ายินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวมากๆ...แม้จะมีคนรอผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองหลายร้อยคน แต่เหล่า ตม. กลับมีสีหน้ายิ้มแย้มแบบไม่ได้เสแสร้ง

ประทับใจตั้งแต่แรกมาเยือนเลยทีเดียว

...

ค่าครองชีพ ยึดตาม Coke Zero Index ใน 7-Eleven อยู่ที่ขวดละ 37.7 บาท แต่เป็นขนาด 600 มล.

ถ้าเทียบบัญญัติไตรยางค์ดูก็ราคาประมาณ 31.4 บาท ที่ขนาด 500 มล. เทียบบ้านเราก็แพงกว่าที่ 85% เลย!

ส่วนเงินเดือนเริ่มต้นสำหรับเด็กจบใหม่ เทียบเป็นเงินไทย อยู่ที่ 29,900 บาท...พอรู้แล้วก็ว้าวเลยครับ เพราะสูงกว่าบ้านเราอยู่เกือบ 100%

แต่ทานข้าวมื้อนึง แบบธรรมดาๆ ก็อยู่ที่มื้อละ 65-130 บาท...ก็สูงกว่าบ้านเรา 30%-85% (ตีเสียว่า บ้านเรามื้อนึงก็ 50-70 บาท นะครับ)

สรุปว่า ชาวไทเปมีชีวิตที่ล่ำซำกว่าชาวกรุงเทพฯ อยู่มากพอควร ^^

...

การสัญจรไปมาบนท้องถนน มีความคล้ายคลึงกับบ้านเรามากเหลือเกิน ทั้งวิธีการขับขี่ที่ดูวุ่นวาย แล้วก็ผังถนน...ต่างกันแต่ว่า ที่นี่ขับพวงมาลัยซ้าย

โดยเฉพาะ การที่มีมอเตอร์ไซด์วิ่งกันขวักไขว่และฉวัดเฉวียน แทบไม่ต่างจากบ้านเราเลย...ฝ่าไฟแดงก็มีฝ, แซงปาดหน้า, แซงกระชั้นชิด, ฯลฯ...มีให้เห็นหมด

ร้านสะดวกซื้อ มีให้เห็นแทบทุกหัวถนน เหมือนบ้านเราอีกเหมือนกัน ซึ่งเจ้าตลาดก็คือ 7-Eleven ที่มีมากเป็นอันดับ 4 ของโลก (บ้านเรามี 7-Eleven มากเป็นที่ 3)

...

สินค้าน่าซื้อน่าจัด มีเต็มไปหมด...โดยเฉพาะสายเครื่องสำอาง, เสื้อผ้า และขนมต่างๆ

เอาจริงๆ ผมก็ยังไม่มีเวลาสำรวจทั่วๆ ครับ...เพราะวันนี้ประชุมทั้งวัน ไม่ก็ติดอยู่บนท้องถนน

...ใครสนใจเรื่องแหล่งช้อปปิ้ง ก็ตามต่อนะครับ...เพราะพรุ่งนี้วันหยุด ผมจะลองไปโฉบดู ก่อนบินกลับกรุงเทพฯ...

#NoteToSelf: 

  • นี่เป็นอีกเมืองที่มี Life Style คล้ายบ้านเรามากๆ
  • ช่วงนี้ ไม่ต้องขอ VISA...มาไม่ยาก แต่นั่งเครื่องเกือบ 4 ชั่วโมงนะ
  • พรุ่งนี้จะกลายร่างเป็นหนุ่ม "ไทยเพย์" อยู่ในกรุงไทเป ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...