Skip to main content

Post#4-336: แลกเปลี่ยนระหว่างรุ่น

Post#4-336:
หลายวันก่อน ผมมีโอกาสได้ฟังการนำเสนอ Corporate Profile ของ Start up Business ที่มี CEO เป็นเด็กหนุ่มอายุแค่ 24 ปี!

ขยี้ตาแล้วอ่านซ้ำอีกทีก็ได้ครับ...อ่านไม่ผิดแน่ๆ ว่า CEO มีอายุแค่ 24 ปีเท่านั้น

ส่วนทีมงานที่มาด้วยกัน, คนหนึ่งเป็นรุ่นน้องที่ผมรู้จัก ก็อายุเท่ากับ CEO และอีกคนแก่สุด ก็อายุเพียง 27 ปี

ผมฟังการนำเสนอด้วยความเพลิดเพลินและชื่นชม...ดีใจมากๆ ที่ประเทศไทยมีเด็กรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ที่น่าจะเติบโตขึ้นเป็นความหวังของประเทศได้

...

ผมว่าเด็กรุ่นใหม่ที่ "เอาถ่าน" นั้น...น่าที่จะผู้ใหญ่ทั้งหลายควรที่จะให้การสนับสนุน...ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

อย่างผมเอง...แม้ไม่อาจจะช่วยเหลือเรื่องเงินทุนได้ แต่ก็ยินดีช่วยให้ความเห็นและต่อยอดด้วย Connection ที่ตัวเองมีอยู่

ถือเป็นการลงทุนให้กับอนาคตของประเทศ โดยไม่ได้หวังผลประโยชน์ใดๆ...และแน่นอนว่า ก็ไม่ได้เสียสละอะไรมากมายไปกว่า แนวคิดและเวลา

และก็ใช่ว่าในขณะที่เสียสละเวลาที่มีค่า...เราจะไม่ได้อะไรที่มีค่าไม่ยิ่งหย่อนกัน กลับมาเสียเมื่อไหร่

...

แต่ในขณะที่ผม share ความเห็นและมุมมองเพื่อให้พวกเค้ากลับไปปรับปรุงและพัฒนา...ผมเองก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากคนรุ่นใหม่ไปด้วยในเวลาเดียวกัน

การเติมความรู้ให้กับตัวเรานั้น สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการแชร์ความรู้...เป็นการแลกเปลี่ยนที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็ "ได้" โดย "ไม่มีเสีย"

คนรุ่นก่อน เสริมเขี้ยวเล็บให้กับคนรุ่นใหม่ ด้วย "ประสบการณ์" และ "ความลุ่มลึกในการประเมินสถานการณ์"

ส่วนคนรุ่นใหม่ ก็เติมเต็มให้กับคนรุ่นก่อนด้วย "ความสดใหม่" และ "แนวคิดที่ฉีกข้อจำกัดเดิมๆ ที่เคยมี"

เมื่อต่างรุ่นต่างก็มีจุดแข็งของตน...ดังนั้น การแลกเปลี่ยนจุดแข็งระหว่างกัน จึงทำให้...

...คนรุ่นใหม่ได้ย่นย่อเวลาในการเติมประสบการณ์ และคนรุ่นก่อนได้องค์ความรู้ใหม่ๆ มากระตุ้นไฟในตัว...

#NoteToSelf: 

  • "ความรู้"...ยิ่งให้ยิ่งมี และยิ่งทบทวนยิ่งแข็งแกร่ง
  • ฝ่ายหนึ่งได้เรียนรู้อดีต และอีกฝ่ายหนึ่งมองเห็นแนวคิดอนาคต โดยมีจุดเชื่อมต่ออยู่ที่ปัจจุบัน...เจ๋งสุดล่ะครับ!
  • จะคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นก่อน ก็สามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกันด้วยความชื่นชมในจุดแข็งที่แต่ละรุ่นต่างมีอยู่ได้
  • ขอเพียงคนรุ่นก่อนรู้ละอัตตา และคนรุ่นใหม่เท่าทันอหังการ์...แค่นั้นจริงๆ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...