Skip to main content

Post#5-123: Tutor

Post#5-123:
เมื่อค่ำวานผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทสมัยเรียน มหาลัย...ซึ่งหลังจากเรียนจบ นับไปนับมา ก็เรียกว่าไม่ได้เจอกันเกินกว่า 20 ปี เลยทีเดียว

ระหว่างคุยกัน ภาพความทรงจำเก่าๆ ก็ฉายออกมาเป็นภาพในสมอง แล้วก็หยิบเรื่องนั้น นู้น นี้ มาอำกัน เป็นที่เฮฮา

เจอกันคราวนี้ นอกจากคุยสารทุกข์สุขดิบ และเรื่องเก่าๆ แล้ว...เพื่อนรักผม ก็ถือโอกาสปรึกษาถึงแนวทางการทำธุรกิจบางอย่าง ที่ผมพอมีความรู้อยู่บ้าง ด้วยเช่นกัน

...

ส่วนตัวผมเป็นคนชอบแชร์และชอบคิด...ดังนั้น จึงยึดอาชีพเป็น ที่ปรึกษาทางธุรกิจ

และไม่เคยรังเกียจที่เพื่อนๆ และน้องๆ จะมาหารือเวลาคิดจะทำ project นั่น นู่น นี่ อยู่เสมอ

เช่นเดียวกับสมัยเรียนมหาลัย แม้ว่าผมจะเรียนไม่ได้เก่งระดับเกียรตินิยม แต่ก็อยู่ในระดับเอาตัวรอดได้แบบไม่ยากลำบาก

ดังนั้น ผมก็มักจะได้รับบทเป็น Tutor ของกลุ่ม...ซึ่งผมก็ชอบมากๆ เวลาที่เพื่อนๆ มีคำถามมาถามในช่วงที่เก็บตัวติวกัน

เพราะการอ่านอย่างเดียว อาจจะพิสูจน์ได้แค่ว่า เรามีความจำดีพอหรือไม่...แต่การติว จะช่วยวัดว่า เรามีความเข้าใจในสิ่งที่เราอ่าน ในระดับใดแน่

ถ้าหากว่าเราสามารถตอบคำถามได้...ก็ย่อมทำให้เรามั่นใจในระดับหนึ่ง ว่าสิ่งที่เราจำจากการอ่านนั้น เราประมวลผลออกมาเป็นคำอธิบายให้คนอื่นรู้เรื่องได้ดีพอมั๊ย?

...

ใครจะเป็น Tutor หรือที่ปรึกษาทางธุรกิจได้...จึงต้องรู้ลึก, รู้รอบ และรู้กว้าง

รู้ลึก ว่าสิ่งที่กำลังอธิบายอยู่นั้น ประกอบไปด้วยรายละเอียดใดบ้าง ถูกต้อง ครบถ้วน หรือไม่?

รู้รอบ ว่าสิ่งที่กำลังอธิบายอยู่นั้น ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใด บทไหน อีกบ้าง?

และรู้กว้าง ว่าสิ่งที่กำลังอธิบายอยู่นั้น ส่งผลเกี่ยวเนื่องผูกพันกับเรื่องอื่นๆ บทอื่นๆ หรือวิชาอื่นๆ อย่างไร?

...

เช่นเดียวกับการทำงานครับ...

ถ้าหากว่าเราอยู่ในระดับหัวหน้างานแล้วล่ะก็...เราต้องถามตัวเองมากๆ และบ่อยๆ ว่าเราเข้าใจภาพรวมและความเชื่อมโยงของงานที่ลูกน้องแต่ละคนทำ ดีแค่ไหน?

เพราะหากไม่เข้าใจรื่องภาพรวมและความเชื่อมโยงดีพอ...ก็หมายความว่า เรายังเป็นหัวหน้างานที่ยังเก่งไม่พอ 

และถ้ายังเก่งไม่พอ นั่นก็ย่อมหมายถึง เราจะยังไม่สามารถแปลงนโยบายเป็นแผนปฏิบัติงานได้แน่ๆ

สรุปสั้นๆ และง่ายๆ ว่า ตราบเท่าที่เรายังไม่สามารถร่างแผนปฏิบัติงานที่ตอบโจทย์นโยบายได้...เราก็ยังไม่พร้อมที่จะเลื่อนชั้นขึ้นเป็นระดับบริหาร

...

จะเป็นผู้บริหารที่เก่งได้...ก็ต้องเตรียมตัวตั้งแต่ยังเป็นพนักงานหรือเจ้าหน้าที่

ตอนที่ยังเป็นระดับปฏิบัติการอยู่ เราใส่ใจและขวนขวายที่จะทำให้ตัวเองรู้ลึกพอมั๊ย?

แล้วรู้รอบถึงความเชื่อมโยงในงานของเรากับเพื่อนร่วมงานในแผนกหรือฝ่ายเดียวกัน รึเปล่า?

เมื่อรู้ลึกและรู้รอบ เพียงพอ...จึงนับว่าเรามี knowledge และ competency เพียงพอที่จะขยับขึ้นเป็นผู้บริหารชั้นต้นได้

เมื่อเป็น ผู้บริหารชั้นต้น ได้แล้ว...ก็ต้องใส่ใจและขวนขวาย ให้เรากลายเป็นผู้รู้กว้างต่อไป

...ค่อยๆ ขยายกะลาที่ครอบเราอยู่ไปเรื่อยๆ ครับ...อย่าพึ่งคิดว่ากะลาที่ครอบเราอยู่มันใหญ่ที่สุดแล้ว...

#NoteToSelf: 

  • ความรู้...ยิ่งแบ่งปัน ยิ่งงอกเงย และไม่เคยพร่องลง
  • ความรู้...เป็นทรัพย์สินที่ทรงคุณค่ายิ่ง และมิอาจประเมินอานุภาพที่แท้จริงได้...ขึ้นอยู่กับผู้ครอบครอง
  • เราไม่อาจจะเป็น Tutor ได้ หากเราเป็นนักเรียนที่ไม่ใฝ่เรียนรู้ / เราไม่อาจจะเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจได้ หากเราเป็นคนที่ไม่ใฝ่สังเกต / และเราไม่อาจจะเป็นหัวหน้างานได้ หากเราเป็นลูกน้องที่ไม่ใฝ่ก้าวหน้า
  • ดังนั้น จะเป็น Tutor, ที่ปรึกษาทางธุรกิจ หรือหัวหน้างาน ก็ไม่ต่างกัน...คือต้องรู้ลึก, รู้รอบ และรู้กว้าง
  • และที่สำคัญ จงอย่าหยุดขวนขวายที่จะเรียนรู้ให้มากขึ้นและมากขึ้น

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...