Skip to main content

Post#5-141: ปล่อยวาง...หาใช่ละเลย

Post#5-141:
เรื่องหนึ่งที่ยากมากๆ สำหรับสามัญชนคนทั่วไปอย่างเราๆ ก็คือการปล่อยวางนั่นเองครับ

ยิ่งโดยเฉพาะคนที่เอาใจใส่ทุ่มเทกับการทำงานมากๆ นี่...บ่อยครั้งเลย ที่หอบเรื่องงานใส่สมองกลับไปที่บ้านด้วย

แล้วก็กลายเป็นนั่งก็คิด, นอนก็คิด และแม้กระทั่งหลับก็เอาไปฝันถึง...แปลว่าทั้งกาย, ใจ และสมอง ก็เป็นอันไม่ได้หยุดพักเสียที

...

ที่เป็นแบบนี้ เพราะเราอาจจะเข้าใจไปเองรึเปล่าหนอ...ว่าการปล่อยวางกับการละเลยนั้น เป็นเรื่องเดียวกัน?

ถ้าใช่...เราก็คงจะต้องบอกตัวเองเสียใหม่

ว่าละเลยน่ะ...หมายถึงการไม่ใส่ใจใดๆ เลย ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม

ส่วนปล่อยวางน่ะ หมายความว่า เรารู้ว่าเมื่อถึงคราวต้องกัด ก็จะกัดไม่ปล่อย...แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องพักจากการสู้ ก็รู้จักที่จะวางภาระลงชั่วคราว

...

อีกประเด็นที่ต้องบอกตัวเองก็คือ...ใช่ว่าการที่เราครุ่นคิดเรื่องงานตลอดเวลา จะทำให้เราหาทางออกหรือคำตอบให้กับปัญหาได้

ตรงกันข้ามครับ...

มันจะยิ่งทำให้เราคิดวกไปเวียนมาแบบไม่รู้จบ...และลงท้ายก็ทำให้เราหลงอยู่ในเขาวงกตแห่งความกังวล เท่านั้นเอง

...

เอาจริงๆ การที่เราไม่ยอมปล่อยวางเสียบ้าง...มันก็อุปมาได้กับการตัดต้นไม้ล่ะครับ

ก็เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาตัด โดยไม่หยุดลับขวานเสียบ้าง...ไม่ว่าจะใช้แรงหรือความทุ่มเทมากเท่าไหร่ ก็ใช่ว่าเราจะตัดต้นไม้ได้มากขึ้นเสียเมื่อไหร่

ก็ถ้ามัวแต่แบกปัญหาไว้ตลอดเวลา ไม่ปล่อยวางเพื่อพักเสียบ้าง...ก็จะต่างอะไรจากการตัดต้นไม้โดยไม่ลับขวาน?

ดังนั้น การรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง...จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง

...อย่าลืมเสียล่ะครับ ว่ามันไม่ได้สำคัญว่า ปัญหานั้นหนักแค่ไหน...แต่มันสำคัญว่า เราจะแบกมันไว้นานแค่ไหน ต่างหาก!...

#NoteToSelf: 

  • อย่าคิดว่าการปล่อยวาง คือการละเลยงาน...มันต่างกันโดยสิ้นเชิง
  • ไม่ลับขวาน งานตัดไม้ก็ไร้ประสิทธิภาพ...ไม่ปล่อยวาง ความคิดฤาจะเฉียบคม?
  • ปัญหาแม้จะมากหรือหนัก...ถ้ารู้จักยกบ้างวางเป็น เดี๋ยวเราก็แก้มันได้...แต่ถ้าแบกไว้ตลอด น่ากลัวว่าเราจะม้วยก่อนจะแก้ปัญหาได้กระมัง

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...