Skip to main content

Post#5-125: งานเอ๋ยงานล้น

Post#5-125:
ว่ากันตามจริงแบบไม่ได้เอาใจลูกน้องแต่อย่างใดนะครับ...บรรดาเจ้านายส่วนใหญ่น่ะ ออกจะเห็นใจลูกน้องไม่น้อย ในเรื่องที่มีงานล้นมือ

ก็เพราะมันต่างกันเยอะ ระหว่างคนสั่งกับคนทำ...ซึ่งโดยมากแล้ว เรามักไม่เคยทำงานทันที่เจ้านายสั่ง...เลยสักคน

แต่ก่อนจะไปโกรธเจ้านายที่สั่งงานเยอะจริงเยอะจังนี่...ลองมองดูให้ดีครับ ว่าเจ้านายของเราน่ะ มีเจ้านายที่เหนือขึ้นไป รึเปล่า?

ลงท้ายแล้ว...เจ้านายของเรา ก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่ คือโดนเจ้านายสั่งงานมาอีกที เช่นกัน

ยิ่งตำแหน่งงานสูงก็ยิ่งต้องแบกความรับผิดชอบมากขึ้น และมีงานในความดูแลมากขึ้นไปด้วย

...แปลว่า งานที่เราแบกไว้ว่าเยอะแล้ว...เจ้านายของเราอาจจะแบกอะไรมากกว่าเราอีกเยอะ ก็เป็นได้

...

ยังไงก็ตาม...ผมคิดว่า เรามีสิทธิ์ที่จะปรึกษากับเจ้านายได้อย่างตรงไปตรงมา ว่างานที่ให้มานั้น หนักหนาเกินกว่าจะทำให้เสร็จได้ตามกำหนด หรือไม่

ถ้าเป็นไปได้...เราควรสรุปกับเจ้านายให้ชัดเจนไปเลยครับ ว่างานที่ค้างอยู่ อยากจะให้เสร็จงานไหนก่อนหรือหลัง

เพราะโดยมากแล้วงานด่วนต้องมาก่อนงานใหญ่”...ดังนั้น ถ้าไม่จัด priority ให้ชัดเจน ก็มีหวังแย่ทั้งเราและเจ้านาย

...

ถ้าเราเอาแต่รับงานมากอดไว้ โดยไม่ดูกำลังของตัวเองให้ดี...แบบนี้ จะไปโกรธเจ้านายไม่ได้นะครับ ถ้าถึงเวลาต้องส่งงาน แล้วดันไปบอกว่า ทำไม่เป็น / ทำไม่ได้ / ทำไม่ทัน

การทำงานในองค์กรส่วนใหญ่นั้น มักเป็นลักษณะของ Function-based...แปลว่า ความล่าช้าที่เกิดจากเรา จะส่งผลกระทบกับคนอื่นๆ หรือหน่วยอื่นๆ แน่นอน

ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะคนสั่งงานหรือคนรับงาน ก็อย่าได้มักง่ายหรือประมาทกับการสั่งงานและรับงานโดยเด็ดขาด

...เตือนตัวเองไว้ให้ดี ว่าสั่งงานไป แต่ความรับผิดชอบในฐานะคนสั่งงาน ก็ยังอยู่ และรับงานไปแล้ว เป็นตายยังไงก็ต้องส่งมอบให้ถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา...

#NoteToSelf: 

  • คนสั่งงานกับคนรับงาน ต้องร่วมกันรับผิดชอบในความสำเร็จหรือล้มเหลวของงาน
  • งานไม่เสร็จ / ไม่สมบูรณ์ / ไม่สำเร็จ...คนไหนผิดหรือถูกเป็นเรื่องนึง...แต่ผลลัพธ์นั้นชัดเจน ว่าไม่มีคนชนะ มีแต่คนแพ้
  • หลังแก้ปัญหาให้งานลุล่วง...ประเมินให้ดีว่าเราคือตัวปัญหา หรือคนสั่งงานคือตัวปัญหา...แล้วแก้ปัญหาให้ถูกจุด

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...