Post#5-130:
ขณะกำลังรอขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ...ผมก็นั่งทบทวนดูว่า มากรุงไทเปคราวนี้ ผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้าง?
ที่เห็นชัดมากๆ เลย คือตอนนี้ “ชาวไทเป” กำลังปรับตัวเองไปสู่การเป็น Idea Intensive City
ที่ว่าเป็น Idea Intensive ก็คือ...การที่เจ้าของสินค้า ต่างลงมือใส่ “ความคิดสร้างสรรค์” ไม่ว่าจะเป็น design, license, know-how และ imagination ต่างๆ ลงไปในตัวสินค้า
ซึ่งมันส่งผลให้ มูลค่าเพิ่มของสิ่งของธรรมดาๆ ที่ผมเห็นและจับจ่าย...ล้วนมี Creativity เป็นส่วนต่อเพิ่มขึ้นจาก Function ของสินค้า แทบทั้งสิ้น
...
เอาจริงๆ ประเทศเราก็รณรงค์เรื่องนี้มานานพอควรแล้วเหมือนกันครับ...แต่เท่าที่ผมรับรู้ มันไม่มีอะไรออกมาให้เห็นเป็น “รูปธรรม” สักเท่าไหร่
ออกตัวก่อนว่า จริงๆ แล้ว บ้านเราอาจจะมีการทำกันออกมาเยอะแล้ว...แต่ผมไม่รู้เอง ก็เป็นได้ กระมังครับ?
ยังไงก็ตาม ประเด็นที่ผมต้องการจะสื่อถึงก็คือ...ไม่ว่า “Idea” จะดีเลิศเลอเพียงใดก็ตาม หากขาด “Implementation” (หรือการลงมือทำ) ก็เท่ากับ “ไร้ประโยชน์”
ฉะนั้น ตราบใดที่เราได้แต่ฝัน...ฝันก็จึงเป็นได้แค่ฝัน...ดังนั้น เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา เราจึงเห็นแต่ “อากาศธาตุ” อยู่เบื้องหน้า
...
ผู้คนส่วนใหญ่ มักจะมีฝันที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม...หากแต่มักจบลงด้วยความรู้สึกว่า ความฝันที่เรามีนั้น มันยากเสียจนไม่อาจกลายเป็นจริงได้
ลงท้ายแล้ว ผู้คนกว่าค่อนโลกจึงตายไปพร้อมกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
แล้วเราล่ะครับ?
...
เราอยากอยู่ในกลุ่มไหนกันหนอ?
อยากอยู่ในกลุ่มที่ มีผืนดินกลบหน้าไปพร้อมกับความฝันที่ไม่เคยได้ลงมือทำ...
หรืออยากอยู่ในกลุ่มที่ ลงมือทำอย่างเต็มที่และจริงจัง แม้ว่าความฝันนั้นจะยากเย็นเพียงใดก็ตาม?
แม้ว่าจะไม่มีใครรู้ ว่าพยายามทำเต็มที่แล้ว...สุดท้าย ความฝันของเรา จะกลายเป็นความจริงได้หรือไม่?
...หากแต่เราจำต้องตระหนักว่า ทุกความฝันที่จะกลายเป็นความจริงได้...ล้วนต้องเริ่มต้นด้วย “การลงมือ” ทั้งสิ้น...
#NoreToSelf:
- ความฝันจะใหญ่หรือเล็ก, ยากหรือง่าย, จริงจังหรือไร้สาระ...ล้วนต่างต้องเริ่มด้วย การลงมือทำตามฝัน ทั้งสิ้น
- ดังนั้น เมื่อกล้าที่จะฝัน...จงกล้าที่จะลงมือทำด้วย
- อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นด้วยความล้มเหลว...แต่จงกลัวความล้มเหลวที่จะเริ่มต้น ให้มากกว่า
Comments
Post a Comment