Skip to main content

Post#5-150: ปรัชญาจากตู้คีบตุ๊กตา

Post#5-150:
ลูกสาวผมชอบท้าทายตัวเองกับตู้คีบตุ๊กตามากๆ...เรียกว่า ถ้าเห็นเป็นต้องเข้าไปเล่น ว่าอย่างนั้น

แรกๆ ผมก็รู้สึกว่า มันเป็นการสิ้นเปลืองเปล่าๆ ปลี้ๆ...เพราะดูยังไงก็ไม่น่าจะมีโอกาสคุ้มทุนเลย

แต่ช่วงหลังๆ มานี้...ผมกลับรู้สึกสนุกไปด้วย และถึงกับแข่งกับลูกออกบ่อยๆ ว่าใครจะพิชิตรางวัลได้

ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้คิดค้นเจ้าตู้นี้ขึ้นมา...รู้แต่ว่า ผู้คิดค้นนั้น เข้าใจเรื่องกิเลสของมนุษย์ ได้ดีเสียเหลือเกิน

...

ในชีวิตจริงของเรา...ก็มักเจอกับเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยๆ ครับ

แรงยั่วยุของกิเลสนั้น มาในรูปแบบที่แตกต่างกันมากมายสารพัด...ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่ทุกคนคุ้นเคย ก็นึกถึงวันที่ 1 กับ 16 ของทุกเดือนดู ก็ได้ครับ ^^

แล้วเราก็มักจะพ่ายแพ้ต่อความยั่วยุของกิเลสและตัณหาอยู่ร่ำไป...ทั้งๆ ที่สมองน่ะเข้าใจ แต่หัวใจของเรากลับงอแง เสียนี่

แปลว่าใครที่หักห้ามใจตัวเองได้ โดยใช้เหตุผลมาหักล้างได้นี่...ก็ถือได้ว่า ไม่ธรรมดา

...

แต่ถ้ายังหักห้ามใจตัวเองแบบเด็ดขาดไม่ได้...ก็จงตามใจตัวเองแบบมี limit ให้ได้ก็แล้วกันนะครับ

อย่างเจ้าตู้คีบตุ๊กตานี่ก็เช่นกัน...ผมจะกำหนด limit ไว้ในใจเลย ว่าให้เผาเงินได้ไม่เกินกี่บาท

ถ้าได้ตุ๊กตาก่อนเงินหมด...ก็ถือว่าชนะ 

และถ้าหยอดจนหมดแล้วยังไม่ได้ ก็ถือว่าแพ้...คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่

...

แม้ว่าตั้งแต่เล่นมา ผมจะไม่เคยถึงจุดคุ้มค่าในการลงทุนเลย...

แต่อย่างน้อยก็ถือว่า เป็นการฝึกให้ลูกรู้จักวางแผน และใช้ความพยายามท่ามกลางทรัพยากรที่จำกัด (คือเหรียญที่หยอด และเวลาที่เล่น)

ตุ๊กตาที่คีบมาได้ แม้ว่าจะไม่คุ้มค่าเงิน...แต่มันคุ้มเหลือเกิน กับความพยายามที่ลงไป

...ถ้าหยุดกิเลสไม่ได้...ก็จงแปลงมันให้เป็นประโยชน์บ้าง...สักเล็กน้อย ก็ยังดีครับ...

#NoteToSelf: 

  • ความรู้สึกที่ว่าอีกนิดเดียวก็จะได้แล้ว”...มันก็คือกิเลสที่ว่านั่นไง
  • กิเลสที่พอเหมาะพอสม...จึงเป็นแรงผลักดันให้เรามีความทะเยอทะยาน หากแต่ต้องระวังอย่าให้มันเกินเลยไปเป็น ความตะกละตะกลาม
  • ไม่เคยชนะลูก...และแม้ว่า ส่วนน้อยที่เราจะเอาชนะเจ้าตู้คีบฯ ได้...แต่ส่วนใหญ่ เราก็มักจะเลิกเล่น พร้อมๆ กับได้รับรางวัลแห่งความพยายามประดับอยู่ในใจ #ปลอบใจคนพ่ายแพ้

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...