Skip to main content

Post#5-171: “ใจ” ต่างหาก...ที่ไม่พร้อม

Post#5-171:
ผมพึ่งแยกกับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันนานพอดู...รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้มาทานข้าว แล้วก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

ระหว่างทานข้าว ก็ update ชีวิตกันไป...ว่าใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน อยู่ยังไง กันบ้าง?

คุยกันไป ก็เย้าแหย่กันไป...ทำให้ผมอดนึกไม่ได้ว่า ถ้าโชคดีทางชีวิตได้มา cross ทำงานด้วยกันอีก...ก็คงจะดี 

แต่แม้จะไม่ได้ทำงานด้วยกันอีก...ผมก็มั่นใจว่า พวกเราก็ยังคงนึกถึงกันดังเดิม ถึงแม้จะเจอกันไม่บ่อย

ด้วยเพราะสายใยแห่งมิตรภาพของเรานั้น...มันผูกกันแน่นเหลือเกิน

...

ประเด็นหนึ่งที่คุยกันอย่างออกรส...ก็คือเรื่อง project บางอย่างที่อยู่ในหัว ที่เพื่อนคนหนึ่งอยากจะทำ แต่ยังไม่ลงมือทำสักที

ด้วยความเป็นพวกช่างยุ”...ผมจึงไม่ลังเลที่จะกระตุ้นให้เธอลงมือทำจริงๆ จังๆ เสียที...

อย่าได้แต่คิด แล้วก็พูด

...

เอาจริงๆ ผมก็เข้าใจว่า มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ว่าจะเริ่มต้นทำอะไร เมื่อไหร่...

เพียงแต่ ผมไม่ค่อยอยากเห็นเพื่อนปล่อยเวลาไปวันๆ...

กับความฝัน...ที่ไม่มีท่าทีว่าจะเริ่มต้นเสียที

...

จริงอยู่ที่ว่า ผู้คนส่วนใหญ่ ล้วนกลัวการทำอะไรแล้วก็จบลงด้วยความล้มเหลว...แต่ความจริงที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่า...

ก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่ที่ว่า...กลับไม่กลัวการล้มเหลวที่จะไม่เริ่มต้น

นั่นคือสาเหตุหลัก ที่เรามีชีวิตอยู่ เพียงเพื่อที่จะต่อยอดความฝันของคนอื่น...และเลือกที่จะเก็บความฝันของตัวเองให้เป็นแค่ความฝันไปเรื่อยๆ

และเมื่อรู้สึกตัวอีกที...เราก็จะหมดไฟที่จะเริ่มต้นไล่ตามความฝันของตัวเองไปแล้ว

...

หลายๆ คนที่กลัวความล้มเหลว...มักให้เหตุผลว่า ตัวเองยังไม่พร้อม

แต่เมื่อผ่านชีวิตมาเนิ่นนาน...ผมจึงกล้าฟันธงว่า เราไม่มีทางพร้อมสมบูรณ์สำหรับการเริ่มต้นใดๆ

ปัญหาจริงๆ จึงไม่ใช่อยู่ที่กำลังกาย, กำลังเงิน หรือเวลา ของเรา...ที่ไม่พร้อม

...แต่เป็นใจของเรา ต่างหาก...ที่ไม่พร้อม...

#NoteToSelf: 

  • อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น เพราะเมื่อลงมือทำแล้วล้มเหลว...ก็ลุกขึ้นสู้ใหม่ได้
  • แม้ว่าจะไม่พร้อมสมบูรณ์...แต่หากใจของเราพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความท้าทาย...เราก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
  • ไม่มีความล้มเหลวใดจะแย่ไปกว่า...ความล้มเหลวที่จะเริ่มต้น

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...