Skip to main content

Post#5-336: From Entertainment to Enlightenment

Post#5-336:
จำได้ว่า...ผมเคยชวนคุยไว้หลายครั้งเหมือนกัน เกี่ยวกับเรื่องของโลกียะกับโลกุตระ

ให้บังเอิญที่เมื่อคืนวานนี้...ผมมีโอกาสได้คุยเรื่องนี้ กับทีมงานที่มาร่วมกันบรรยายสรุปกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เป็นประเทศที่ 3

ตอนหนึ่งของการสนทนา...จำไม่ได้แน่นอนว่า อะไรดึงให้เราไปถกกันถึงเรื่องคนเราเกิดมาเพื่ออะไรกันไปได้?

แต่โดยรวมๆ แล้ว...เราก็ถกกันว่า อาจจะเป็นไปได้ว่า คนเราเกิดมาเพื่อ entertain ตัวเราเองให้มีความสุข

หากแต่เมื่อ entertain ตัวเองไปถึงจุดหนึ่งแล้ว...เราจะพบว่า มันไม่ใช่ความสุขที่จีรัง เพราะมันสุขชั่วคราว แล้วก็จางหายไป

...

เราก็ถกกันต่อว่า ถ้า Entertainment เป็นแค่ความสุขชั่วคราวแล้ว...อะไรล่ะ คือความสุขที่ยั่งยืน

ลองคิดตามดูครับ...ลองอ่านชื่อตอนของ Post นี้ ดูก่อนก็ได้ครับ...เราอาจจะเห็นตรงกัน ก็เป็นได้

เนื่องจาก เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ลึกและตกผลึก...งั้นผมให้เวลา 50 นาที...พอมั๊ยครับ?

...

ชาวพุธหลายๆ คน...อาจจะได้คำตอบเหมือน”, “คล้ายหรือใกล้เคียงกับที่ผมจั่วหัวไว้

ความสุขอันจีรัง...อาจจะคือการบรรลุถึงสัจธรรมบางอย่าง กระมัง?

ความสุขอันจีรัง...ที่ชาวพุธทั้งหลาย ต่างรู้จักดี ในชื่อนิพพาน

ซึ่งหมายถึง การหลุดพ้นจากวัฏสงสาร

เมื่อระลึกได้ว่า Entertainment เป็นเรื่องชั่วคราว...ก็หมายความว่า เรารู้สึกถึงความเป็นอนิจจัง”, “ทุกขังและอนัตตา

และเมื่อนั้น เราจึงเริ่มเคลื่อนจากโลกียะไปสู่โลกุตระนั่นเอง (From Entertainment to Enlightenment)

...

Entertainment ก็คือ โลกียะ

และ Enlightenment ก็คือ โลกุตระ

ซึ่งเอาจริงๆ เราก็ไม่จำเป็นต้องฝันไปไกลถึงกับต้องบรรลุนิพพาน”...ที่หมายถึงการดับสูญของทุกสิ่งทุกอย่าง หรอกครับ

แค่รู้สึกตัวได้เร็วขึ้น...ว่าทุกข์หรือสุขก็ล้วนเป็นเรื่องชั่วคราว

รู้ว่าทุกข์”...ก็ปลงได้

และรู้ว่าสุข”...เดี๋ยวก็ผ่านไป

...ก็มากพอที่จะชมตัวเองได้เล็กน้อย ว่าเราอยู่ปากประตูแห่งโลกุตรธรรมแล้วล่ะครับ...

#NoteToSelf:
  • ความสุข เกิดขึ้นได้ทันที ที่รู้จักพอ” / “พอคือ การรู้จักวางให้เป็น
  • สิ่งที่ติดตัวเราข้ามชาติภพ ไม่ใช่สิ่งของ...หากแต่เป็น กำลังแห่งกรรม ที่สะสมไว้ในภวังจิต โดยแท้
  • เมื่อรู้ว่าเอาสิ่งใดข้ามชาติภพไปไม่ได้...Moving from Entertainment to Enlightenment is a “MUST”!

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...