Post#5-341:
ผมพึ่งจะถึงเมืองไทย...เมื่อสักครู่ใหญ่ๆ ที่ผ่านมานี้เองครับ
เป็นการจบภารกิจเบื้องต้น...ในการเดินสายพบปะกับกลุ่มข้าราชการระดับสูงและบริษัทเอกชน เกี่ยวกับกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
เป็นช่วงเวลา 10 วัน...ที่ผมตักตวงความรู้เพิ่มเติมได้อย่างมาก ซึ่งนับว่าคุ้มค่ากับเวลาที่ใช้ไปเป็นอย่างยิ่ง
...
การเดินสาย 4 ประเทศ ใน 10 วันครั้งนี้...ทำให้ผมมีระดับความอดทนอดกลั้นมากขึ้นกว่าเดิม
ที่ว่าต้องอดทนอดกลั้น...ก็เพราะการต้อง debate กับกลุ่มคนที่มีแนวความคิดตรงกันข้ามกับเรานั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ทีมต้องพยายามผลักดันให้การบรรยายคืบไปข้างหน้า...ในขณะเดียวกันก็ต้องหาทางที่จะประนีประนอมกับความเห็นที่แตกต่าง ไปพร้อมๆ กันด้วย
ยิ่งเป็นการหารือในเรื่องกรอบความร่วมมือระดับประเทศ ร่วมกับคนหมู่มากที่ต่างก็มีตำแหน่งและกรอบความสำเร็จเดิมค้ำคออยู่...
จึงเป็นงานที่ไม่อาจจะทำให้สำเร็จได้ในคราเดียว
ยิ่งโดยเฉพาะบางประเด็น...เราสามารถหยิบมาถกกันบนโต๊ะได้
แต่ก็มีอีกหลายประเด็น...ที่เราไม่อาจถกกันบนโต๊ะ เพราะมันโยงใยกับผลประโยชน์และเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิงไม่น้อย
...
เอาจริงๆ ไม่ต้องไปไกลถึงการถกกันในระดับประเทศก็ได้ครับ
เอาแค่ถกกันภายในบริษัท ระหว่างหน่วยงานต่างๆ...ก็มีสภาพไม่แตกต่างจากการประชุมที่ผมพึ่งผ่านมาสักเท่าไร
เพราะหลายต่อหลายคน รวมไปถึงตัวเราเองด้วย...ที่อาจจะยังไม่สามารถตัดเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากการพิจารณาได้
เป็นเพราะเรายังไม่ได้มองถึง “ส่วนรวม” ว่าจะได้อะไร...แต่เรามักมองว่า “ส่วนตัว” เราเสียอะไร เป็นใหญ่
ถ้าทุกคนถามตัวเองว่า ทำแล้วบริษัทได้อะไร? หรือประเทศได้อะไร?
...ก็รับรองได้ว่า บริษัทนั้น ต้องได้กลายเป็นบริษัทชั้นแนวหน้า หรือประเทศนั้น จะต้องได้เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแน่นอนครับ...
#NoteToSelf:
- คนเรามักจะให้คุณค่ากับงานในประเด็นที่ว่า “งานนี้ใครสั่ง?” มากกว่า “งานนี้ทำแล้วองค์กรได้อะไร?”
- คนเราก็มักจะถามตัวเองเช่นกันว่า ทำแล้ว “เราเสียอะไร” มากกว่าถามว่า ทำแล้ว “ประเทศจะได้อะไร?”
- ความเป็นจริง มันก็มักน่าชังเยี่ยงนี้...แต่มันจะน่าชังมากขึ้น ถ้าเรารู้แล้ว ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร
Comments
Post a Comment