Post#5-356:
ช่วงเย็นที่ผ่านมา...ผมประชุมกับทีมงานเพื่อประเมินสถานการณ์ต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะทีมผมอาจจะใจร้อนเกินไป หรือว่าทีมอื่นๆ ที่เราต้องไปพึ่งพา น่าจะใจเย็นเกินไป กันแน่?
แต่ดูเหมือนว่า ความเป็นไปได้ที่แผนต่างๆ จะไม่เป็นไปตาม Timeline ที่วางไว้...อาจมีเปอร์เซนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เราเลยจำต้องวางแผนอย่างจริงจังมากขึ้น...เพื่อเตรียมรับมือกับ Scenario ต่างๆ อันอาจจะเกิดขึ้นได้
...
เอาจริงๆ แม้มันจะเป็นเรื่องไม่เกินคาด...ที่แผนต่างๆ ที่วางไว้อาจจะผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากที่ประเมินไว้ได้
แต่ที่ Bad Surprise มักจะเกิดขึ้น...ก็อาจจะเป็นเพราะตอนประชุมกับทีมอื่นๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ นั้น เราอาจลืมคิดถึง degree of seriousness ที่ทีมอื่นๆ มีต่อแผนของเรา
ทั้งทีมเราและทีมอื่นๆ...อาจจะนอนใจเกินไปว่า ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ ก็เลยคุยกันแบบเป็นกรอบกว้างๆ
เมื่อเวลางวดเข้าและงวดเข้า...ก็เลยทำให้กรอบกว้างๆ นั้น อาจจะกลับมาเป็นผลลบกับเราได้
เพราะถ้าไม่ลงรายละเอียดกันอย่างจริงจังแต่เนิ่นๆ...เราก็อาจเหลือเวลาไม่มากพอจะรับมือกับ Bad Surprise ที่เราก็ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น
...
สรุปได้ว่า Bad Surprise ที่เกิดขึ้นน่ะ...อาจมีสาเหตุหลักมาจาก “ความนอนใจ” หรือ “ความประมาท” นั่นเอง
หรืออาจเป็นธรรมชาติของคนเราที่ว่า เมื่อไม่มี deadline มาจ่ออยู่ตรงหน้า...เราอาจไม่สามารถเค้นความจริงจังออกมาได้มากพอ กระมัง?
...Bad Surprise จึงอาจเป็นผลพวงที่เราสร้างขึ้นเองจาก Bad Planing นั่นเอง!...
#NoteToSelf:
- งานใดที่เราเป็น “เจ้าภาพ”...เราจึงมิอาจนอนใจกับเวลาที่มีอยู่ในมือ เพราะมันอาจมากพอสำหรับเรา แต่น้อยเกินไปสำหรับทีมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- การให้ความสำคัญต่อผลสำเร็จของงานของแต่ละคนหรือแต่ละทีม ล้วนไม่มีวันเท่ากัน...สำคัญกับเรามาก อาจไร้สาระสำหรับคนอื่นๆ
- ถ้าไม่อยากให้มี Bad Surprise ก็อาจต้องลดเปอร์เซนต์การเกิดขึ้นของ Bad Planning ให้ได้มากที่สุด #เจ็บแล้วต้องจำ
Comments
Post a Comment