Skip to main content

Posts

Showing posts from 2014

Post#2-115: ยาพิษที่ชื่อว่า "ความอาฆาต"

Post#2-115: และแล้ววันสุดท้ายของปีก็มาถึง... หลายคนเลือกที่จะใช้วันนี้ทบทวนเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาทั้งปี เรียนรู้จากความผิดพลาด อิ่มเอมกับความสำเร็จ รวมไปถึงตั้งเป้าหมายใหม่ๆ ที่จะเริ่มขึ้นในวันรุ่งพรุ่งนี้ ที่แน่ๆ ไม่ว่าจะเริ่มอะไรใหม่ๆ ก็คงต้องปรับจิตปรุงใจให้อยู่ในสภาวะที่เป็นปกติที่สุดก่อน  ซึ่งผมมักเลือกใช้ช่วงเวลาหลังจากการสวดมนต์ข้ามปี ในการ ละวางจากมิจฉาอารมณ์ทั้งหลาย และอาบปิติจากสัมมาอารมณ์ หนึ่งในมิจฉาอารมณ์ที่ละวางได้ยาก ก็คือ ความโกรธาอาฆาต ซึ่งมักซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเรา เรียกว่านึกถึงทีไร ก็เหมือนมีไฟมาเผาเราจากข้างในทุกที เกี่ยวกับเรื่องความอาฆาตนี้ ผมเคยแชร์ไว้ว่า หนึ่ง...เราควรให้อภัยแต่ไม่ลืม (Post#23) หมายความว่า เราควรระวังหากต้องทำอะไรที่ไปเกี่ยวข้องกับคนที่สร้างความเจ็บช้ำให้เรา จะได้ไม่พลาดแบบเดิม แต่ไม่ใช่ให้อาฆาต เพราะความอาฆาตนั้นคือ การไม่ลืมและต้องการเอาคืนด้วย สอง...และผมก็เคยแชร์เอาไว้ว่า แม้การให้อภัยจะเปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่เปลี่ยนอนาคตได้ (Post#210) แปลว่า แม้การอภัยให้ใคร จะไม่ทำให้เราเรียกคืนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ แต่ทำให้...

Post#2-114: ปีหน้าปีแพะ...แต่ไหงกลับมีหมอดูปากปีจอ?

Post#2-114: เมื่อวานผมชวนคุยเรื่องคำทำนายทายทักไปยังไม่ทันขาดคำ ปรากฏว่าวันนี้มีแต่เรื่องคำทำนายของหมอดูเต็มพื้นที่ Social Networks ทั้งหลาย ก็อย่างที่คุยไว้เมื่อวานล่ะครับ ฟังหูไว้หูไว้ก่อนเป็นดี พยายามคิดตามไปด้วย ว่าคำทำนายต่างๆ วางรากฐานอยู่บนความเป็นจริงมากหรือน้อยเพียงใด เมื่อคิด วิเคราะห์ และแยกแยะดีแล้ว จึงค่อยตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่ และชั่งใจให้มากๆ หน่อย ก่อนที่จะแชร์ต่อ เพราะสมัยนี้ พวกสร้างกระแสเพื่อให้ตัวเองดังแบบชั่วข้ามคืนน่ะมีเยอะจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น สื่อมวลชนไร้สมองบางสื่อก็มักจะหยิบยกประเด็นร้อนๆ ทั้งหลายมาขยายความ ดังเราจะเห็นว่า บางครั้งก็ทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่อง กลายเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ ดังนั้น ขอให้เราบริโภคข่าวอย่างมีสติ แชร์อย่างมีกาลเทศะ และคอมเม้นท์อย่างสร้างสรรค์ อย่าตกเป็นเครื่องมือหรือเหยื่อของพวกที่จงใจหากินกับความเชื่อและความไม่รู้ของผู้คนนะครับ ส่วนตัวผมไม่ได้แอนตี้อาชีพหมอดูเลย ใครชวนไปดูหมอ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ไม่เคยขัด เรื่องดีผมก็ฟังเพลินๆ เรื่องไม่ดีผมก็ฟังเพื่อเจริญสติ หมอดูบางท่านก็ออกมาทำนายทายทักอย่างสร้างสรรค์ อยู่บนร...

Post#2-113: ลบหลู่ vs งมงาย

Post#2-113: นับถอยหลังกันอีกไม่เกิน 2 วัน ปีม้าก็จะควบจากไป และปีแพะก็จะเยื้องย่างเข้ามาแทน สิ่งที่มาพร้อมๆ กับปีใหม่ทุกปี ก็คือเรื่องของการทำนายดวง ซึ่งมีข้อมูลจากหมอดูหลายสำนักหลากตำรา มาให้เราเลือกเสพเลือกอ่าน อยากจะบอกว่า อย่าไปถือเป็นจริงเป็นจังจนทำให้ชีวิตมีความทุกข์เลยครับ อ่านพอให้รู้เป็นเลาๆ พอให้เตือนตัวเองให้ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท สิ่งไหนที่โดนทักว่าให้ระวัง ก่อนจะลงมือทำก็เพิ่มความระวังให้มากขึ้นซักนิด เท่านั้นแหละเป็นพอ ไม่ใช่พอโดนทักนั่น เตือนโน่น ห้ามนี่ เราก็เลยพาลไม่กล้าหยิบกล้าจับ หรือกระทั่งไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย แบบนี้ชีวิตก็ไม่ไปไหนแน่ๆ แต่ก็ไม่ใช่ไปดูถูกหรือเย้ยหยันว่าเป็นเรื่องงมงาย ล้าสมัยคร่ำครึนะครับ แบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเหมือนกัน ... ถ้าลองขีดเส้นขึ้นหนึ่งเส้น ปลายทางด้านซ้ายสุดคือที่ตั้งของคำว่า "ลบหลู่" ส่วนอีกปลายหนึ่งคือที่ตั้งของคำว่า "งมงาย" และหน้าที่ของเราก็คือ กาจุดยืนที่พอเหมาะพอดีระหว่าง 2 คำนี้ให้ได้ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" และ "เชื่ออย่างไม่งมงาย" จึงเป็น 2 วาทะเตือนใจสำหรับทุกๆ คนที่กำลังจะเสพ...

Post#2-112: บ้านตัวอย่าง

Post#2-112: เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยไปดูบ้านตัวอย่างหรือห้องตัวอย่างกันมาบ้างแล้วนะครับ บ้านตัวอย่างมักได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ตกแต่งอย่างเพียบพร้อมและสวยงาม รวมไปถึงมีการสรรค์สร้างบรรยากาศภายในบ้านให้เกิดอารมณ์ผ่อนคลาย ชวนฝัน เวลาไปดูบ้านตัวอย่างพวกนี้ หลังจากปล่อยให้อารมณ์พาสติไปเริงร่าซักพักแล้ว ก็อย่าลืมเรียกสติให้กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองด้วยนะครับ ผู้ขายมักนำเสนอแต่แง่งาม และมักซ่อนแง่งอมไว้ค่อนข้างมิดชิด ไม่ถามก็ไม่ตอบ หรือถ้าตอบก็จะอ้อมๆ เลี่ยงๆ บ่ายๆ เบี่ยงๆ แบบถ้าเราไม่มัวตื่นเพริดกับความงามฉากหน้าของบ้านตัวอย่าง เราก็จะสังเกตได้ไม่ยาก ชื่นชมแง่งามได้ แต่อย่ามองข้ามแง่งอมนะครับ เพราะพลาดแล้วมันเป็นภาระ ซึ่งผมก็เคยพลาดมาแล้ว จึงอยากมาแชร์ให้คนอื่นๆ ระวังไว้บ้าง ... เราเรียนรู้จากเรื่องนี้ได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาฟังคนอื่นพูดหรือพิจารณาดูข้าวของที่เราจะซื้อจะหา... คืออย่าให้เปลือกนอกมาบดบังความจริงข้างใน พิจารณาถึงแก่น อย่าหยุดแค่ผิวนอก ใช้เหตุผลในการตัดสินเนื้อแท้ แม้อารมณ์จะตรึงเราอยู่แค่เปลือกนอกก็ตาม บ้านหรือห้องตัวอย่างกับบ้านหรือห้องที่เราได้รับมอบน่ะ การ...

Post#2-111: บรรยายชวนหลับ

Post#2-111: บ่ายนี้ ผมได้รับเชิญไปบรรยายให้กับองค์กรที่น่ารักแห่งหนึ่ง จริงๆ ผมไม่ค่อยชอบใช้คำว่าไปบรรยาย เพราะแนวทางที่ผมสื่อสารกับผู้ฟัง เป็นไปในลักษณะ "ชวนคุย" ซะล่ะมากกว่า ที่ผมว่าเป็นการ "ชวนคุย" ก็เพราะผมเน้นการมีส่วนร่วมของคนฟัง และ mood & tone ในการคุยของผมจะผันแปรไปตามอารมณ์ของผู้ฟังเป็นสำคัญ แน่นอนว่า เนื้อหาก็ยังเหมือนเดิม แต่ผมจะปรับหรือขยับวิธีการคุยไปเรื่อยๆ แบบไม่มีรูปแบบตายตัว ถ้ารู้สึกว่าบรรยากาศมันเนือยๆ ผมจะแวะไปที่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบ่อยหน่อย แต่ถ้าบรรยากาศเป็นใจ ผมก็จะอัดเนื้อหาด้วยวิธีการเล่าเรื่อง ใครขอ presentation จากผม จึงมักไม่ค่อยได้อะไร เพราะที่อยู่ใน file มันเป็นแค่ bullet point ที่ต้องอาศัยการขยายความจึงจะเข้าใจ เวลาผมไปฟังการสัมมนาหรือบรรยายที่ไหนก็ตาม ถ้าเจอวิทยากรที่สื่อสารทางเดียว คือพูดไปเรื่อยๆ นี่ผมจะเหนื่อยมาก เพราะรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องเรียน และเมื่อสังเกตไปรอบๆ ก็พบว่าคนฟังจะเปลี่ยนสัญชาติจากไทยเป็น เลบา "นอน" กับอิสรา "เอน" ซะเป็นส่วนมาก การสื่อสารที่ดีจึงควรเป็นแบบ 2 ทาง ได้สื่อสาร ได...

Post#2-110: วันหยุดยาวๆ

Post#2-110: ช่วงนี้หันหน้าไปทางไหนก็ไม่มีใครอยากจะทำงาน ทั้งอารมณ์ ทั้งแรง ดูเหมือนจะโดนความเย้ายวนใจของวันหยุดยาวๆ ดูดไปจนหมดสิ้น ว่ากันตามจริง ก็คงไม่มีใครเกลียดวันหยุดยาวๆ อยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้มีบ่อยๆ ยิ่งโดยเฉพาะ "มนุษย์เงินเดือน" จะชอบมาก แต่ถ้าเป็น "คนค้าขาย" จะแอบเซ็ง เพราะรายได้หดหายไปถนัดตา บางคนลางานตั้งแต่บ่ายวันนี้ ต่อด้วยวันจันทร์และอังคาร ก็เท่ากับว่ามีวันหยุดต่อเนื่องถึง 9 วันเต็มๆ ซึ่งเมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยจะ happy ถ้าลูกน้องคนไหนจะหายหน้าไปนานๆ แต่มาเดี๋ยวนี้ ผมสนับสนุนให้ลูกน้องหยุดยาวๆ ต่อเนื่องได้เลย ถ้า... หนึ่ง...งานที่อยู่ในความรับผิดชอบเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรค้างคาและตั้งใจจะหมกข้ามปี ที่สำคัญควรต้องมอบหมายงานต่อให้เรียบร้อย ใครทำอะไร ตรงไหนแทน จะได้ตามได้ถูก สอง...สัญญาว่าจะติดต่อได้ตลอด เผื่อเหลือเผื่อขาด หาอะไรไม่เจอ หรืออาจจะต้องถามข้อมูลบ้างบางเรื่อง ไม่ใช่หายไปแบบต้องติดต่อผ่านนกพิราบสื่อสาร อย่ากังวลครับ ไม่มีใครโรคจิตขนาดจะโทรจิกจนไม่ได้พักแน่ๆ ถ้าทำข้อหนึ่งไว้เรียบร้อย สาม...ไม่ได้หายไปทีเดียวพร...

Post#2-109: อาบเหงื่อร่วมกับทีมงาน

Post#2-109: เมื่อไม่เกินครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผมไปทำงานเป็นพนักงานคลังสินค้าจำเป็น -"- เหตุเกิดจากที่ผมเล่าให้ฟังถึงการย้ายคลังสินค้าเมื่อ 2 วันก่อน (Post#2-107) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปีนี้ ที่ต้องมาออกแรงยกลัง ตรวจสินค้า และจัดสต๊อกด้วยตัวเอง แม้จะทำไปได้ไม่เยอะ เพราะสังขารและเวลาไม่อำนวย ใช้เวลาไปชั่วโมงนิดๆ กับสินค้าประมาณเกือบ 100 ลัง ที่ต้องลงมือเองไม่ใช่ว่าอยากเท่หรือไม่เจียมสังขาร แต่ตอนที่มาตรวจงาน ได้รับรายงานว่าหาสินค้าไม่เจอ ด้วยความสงสัยผมเลยต้องช่วยกันกับทีมอีก 2 คน ลงมืออย่างที่ว่า ว่ากันตามจริงก็โทษกันไม่ได้ เพราะระบบจัดการคลังยังไม่ลงตัว ได้แต่อาศัยความอุตสาหะและใจสู้ของทีมงาน ทำให้พอจะประคองตัวไปได้แบบทุลักทุเล จัดของทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่สุดท้ายผลปรากฏว่า ได้สินค้าเพิ่มมาอีกกว่า 50 ขวด จากที่เค้าว่าหากันไม่เจอ... งานนี้ แม้ไม่คุ้มค่าเหงื่อ...แต่ผมก็ว่าผมได้ประโยชน์หลายๆ เรื่อง 1.ได้แสดงให้ทีมงานเห็นว่า คนที่เป็นนายก็ยอมเหนื่อยไปพร้อมกับเค้า ไม่ได้ดีแต่สั่งอย่างเดียว 2.ได้หยั่งถึงระดับขวัญและกำลังใจของทีมทำงาน เพราะการต้องทำงานโดยไม่มีระบบจัดกา...

Post#2-108: โอกาสมาเคาะประตูเรียก?

Post#2-108: เคยสงสัยกันบ้างมั๊ยครับ ว่าทำไมบางคนช่างมีโอกาสดีกว่าคนอื่นอยู่เรื่อยไป? เรียกว่าจะหยิบจะทำอะไร ก็ดูเหมือนว่าเค้าจะได้โอกาสที่ดีกว่าคนอื่นๆ เสมอ ลองคิดกันดูมั๊ยครับ ว่าเค้ามีวิธี "หา" โอกาสดีๆ เหล่านั้นเจอได้ยังไง...ให้เวลา 5 นาทีครับ ... เชื่อว่าหลายคนคงตอบคำถามนี้ได้ถูก...ใช่แล้วครับ คนที่ได้โอกาสดีๆ มาไว้ในกำมือน่ะ แท้จริงแล้วเค้าไม่ได้เก่งในการ "หา" โอกาส แต่เค้า "สร้าง" โอกาสขึ้นมาเองต่างหาก เท่าที่ผมทราบ ไม่มีใครที่นั่งอยู่เฉยๆ แล้วบุญหล่นทับ กลายเป็นคนร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน เว้นแต่พวกที่โชคดีได้มรดกจากพ่อแม่หรือเจ้าคุณปู่ ก็เท่านั้น คิดดูดีๆ ครับ คนที่เค้าได้โอกาสที่ดีไว้ในมือน่ะ เกิดจากเค้า "โชคดี" หรือเค้า "ขวนขวาย" มากกว่ากัน? เค้าวิ่งเข้าหาความสำเร็จ หรือรอให้ความสำเร็จวิ่งเข้าหา? ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ... ถ้าเราหิว จะทำบะหมี่เกี๊ยวกินเอง หรือจะเดินออกจากบ้านไปหาบะหมี่เกี๊ยวปากซอยกิน หรือจะรอให้รถบะหมี่เกี๊ยวมาจอดหน้าบ้าน? ถ้าทำบะหมี่เกี๊ยวกินเองไม่ได้ งั้นถามว่า จะมีซักกี่ครั้ง...

Post#2-107: พบเพื่อจาก...พรากเพื่อเจอ

Post#2-107: ช่วงนี้ชีวิตผมวุ่นวายและปั่นป่วนมากพอควร... เหตุเกิดจากการย้าย office และ warehouse ในเวลาเดียวกัน -"- อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาโลก ไม่ยกเว้นให้สิ่งใดที่เป็นอนิจจังทั้งหลายทั้งปวง เพื่อนร่วมงานบางคนต้องจากไป บางคนเข้ามาใหม่ ตามครรลองของการพบเพื่อจาก พรากเพื่อเจอ หมุนไปตามวงรอบของอายุงานและโอกาสของแต่ละคน ทุก office ต่างก็มีคนที่จากไป ซึ่งเราต่างก็อวยพรให้เค้าโชคดี ไปประสบความสำเร็จในทางที่เค้าเลือกเดิน และแน่นอนว่าคนที่เข้ามาใหม่ เราต่างก็ยินดีต้อนรับ และหวังให้เค้าปรับตัวให้เข้ากับคนเก่าๆ และนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเติมในส่วนที่เราขาดหายไป ผมเองก็กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่เช่นกัน... ยอมรับว่าใจหายทุกครั้ง ที่เพื่อนร่วมงานเดินจากไป เพราะเหนื่อยยากมาด้วยกัน ก็หวังจะเปิดแชมเปญฉลองกับพวกเค้า... และตื่นเต้นทุกครั้งที่จะมีเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ เข้ามา ยินดีที่จะมีใครมาเติมสีสันและชีวิตชีวาให้กับคนที่อยู่มาก่อน ไม่ว่าจะจากลาหรือต้อนรับ ล้วนแต่มีเรื่องราวและแง่มุมดีๆ ให้ทบทวนและเตรียมตัวรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ......

Post#2-106: ให้ไป...ไม่มีวันหมด

Post#2-106: ช่วงบ่ายวันนี้ ผมมีโอกาสได้น้่งประชุมกับลูกค้าในเรื่องแผนเชิงกลยุทธ์สำหรับปีหน้าที่กำลังจะมาถึง เราใช้เวลาหารือและแลกเปลี่ยนมุมมองกันเกือบ 2 ชั่วโมง ประชุมกันไป แชร์ข้อมูลกันไป เรียกว่าเป็นการประชุมที่ผมประทับใจเป็นอันดับต้นๆ ของปีนี้เลยก็ว่าได้ ไม่บ่อยครั้ง ที่การได้มีโอกาสจับเข่าคุยกับลูกค้าจะสนุกแบบนี้ ถ้าเปรียบเป็นหนังจอมยุทธ์ก็ต้องเรียกว่า มีการดวลกระบี่เพื่อทัศนาฝีมือของกันและกัน แม้ในบางเรื่องที่เห็นต่างกัน แต่อารมณ์แห่งการสนทนาเป็นไปแบบโต้คารมเปื้อนยิ้ม ^^ เจตนาของการพูดคุยมิใช่อยู่ที่บทสรุปว่า ไอเดียใครจะเจ๋งกว่าใคร แต่อยู่ที่การเปิดมุมมองใหม่ๆ ได้ฟังเหตุผลจากคนอื่นๆ เพื่อนำไปสู่การเปิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ... เหตุการณ์วันนี้ ทำให้ผมนึกไปถึงโพสต์หนึ่งที่ผ่านตาทาง Facebook มาเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้กล่าวไว้คือ George Bernard Shaw (จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ - นักวรรณกรรมรางวัลโนเบล ปี ค.ศ.1925 ชาวไอริช) "If you have an apple and I have an apple and we exchange these apples then you and I will still each have one apple. But if you have ...

Post#2-105: กลัวแพ้

Post#2-105: หลายวันก่อน ผมนั่งเล่นเกมกับลูกสาวอยู่เป็นนานสองนาน ลูกสาวผมจะหน้าง้ำทุกครั้งที่ผมดักทางเธอถูก ประมาณว่าอีกนิดเดียวก็ชนะแล้ว ทำไมพ่อดักทางถูกทุกที ผมก็เล่นไปสอนไปล่ะครับ โดยเฉพาะถ้าเห็นว่าเป็นการเล่นแบบมั่วๆ  ผมจะถามลูกทุกครั้งว่า ทำไมเลือกเล่นแบบนี้ ทำไมไม่เล่นแบบนั้น การถามแบบนี้ เป็นการทำให้สมาธิเค้าอยู่กับเกม คิดก่อนเล่น มีเป้าหมายก่อนลงมือ และพอเล่นไปซักพัก จากที่ผมต้องอ่อนข้อให้ กลับกลายเป็นต้องจริงจังมากขึ้น เพราะบางเกมผมก็เล่นแพ้เด็กอายุ 7 ขวบ O_o พูดแบบนี้ หลายคนอาจจะนึกว่า ผมมาอวดความเก่งของลูก แต่จริงๆ แล้วตีความได้ 2 มุม คือลูกสาวผมหัวไวเล่นเก่งมาก หรือไม่ก็ผมฝีมือห่วยมาก เล่นแพ้กระทั่งเด็ก 7 ขวบ (อิอิ ภาวนาให้เป็นมุมแรกก็แล้วกันครับ) ช่วงที่เล่นกันสูสี  กว่าจะเล่นแต่ละครั้ง  ลูกผมจะใช้เวลาคิดนานมาก ลังเลอยู่เป็นนาน พอผมเร่ง เธอก็จะบอกว่า "หนูกลัว" ผมตามต่อว่า "กลัวอะไร" เธอตอบว่า "กลัวแพ้" แล้วเกมนั้นเธอก็แพ้จริงๆ ผิดกับบางเกมที่เธอเล่นด้วยความสนุก ผลลัพธ์มักออกมาดี ไม่ชนะก็จะแพ้แบบเฉียดฉิว ... ในช...

Post#2-104: นอนเคียงกันมองเดือนและดาว

Post#2-104: สมัยที่เรายังเป็นละอ่อนน้อย ไม่เดียงสาเรื่องความรัก เราก็มักจะเป็นจะตายทุกครั้งเมื่อโดนพิษของความรักเล่นงาน ว่ากันตามจริงใครที่มีรักแรกแล้วสมหวังกับความรักเลย คงมีน้อยกว่าน้อย นั่นหมายความว่า ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็เคยลิ้มรสความเจ็บปวดที่เรียกว่า "อกหัก" กันมาแล้วทั้งนั้น เมื่อผ่านช่วงอกหักมาได้ ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเติบโตขึ้น รู้จักความรักมากขึ้น รู้จักเผื่อใจและรู้จักปล่อยวางมากขึ้น ส่วนคนที่ทำใจไม่ได้ มีบ้างที่เลือกจบชีวิตตัวเอง มีบ้างที่ไม่ได้เรียนรู้จากความรักครั้งก่อน และลงท้ายที่ความอกหักซ้ำซาก แต่ถึงอย่างไร "ความรัก" ก็ยังเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นกลไกสำคัญที่ผลักดันให้คนเราต่อสู้ เพราะเมื่อเรามีใครสักคนให้รักและปกป้อง เราจะมีพลังพิเศษที่จะต่อสู้ได้อย่างไม่รู้ถอย ความรักยังเป็นกิเลสที่ตัดได้ยากที่สุด ซึ่งแม้ผู้มีศีลระดับที่สูงกว่าปุถุชนธรรมดา จะตัดโลภ โกรธ หลง ไปได้แล้ว ก็ยังยอมรับว่าตัดผัสสะแห่งความรักนี้ได้ยากยิ่ง ... ในช่วงที่เรามี Puppy Love เรามักมีความรักที่ควบรวมเอาความโลภ โกรธ หลง เข้าไปด้วยอย่างแยกไม่ออก เมื่อผิดหวังในความรัก ผลลัพธ์...

Post#2-103: Selective Attention

Post#2-103: คำโบราณว่าเอาไว้ "เกลียดอะไรมักได้อย่างนั้น" ซึ่งใครจะเห็นด้วยรึเปล่าผมก็ไม่ทราบ แต่ส่วนตัวผมคิดว่า เราอุปาทานไปเองมากกว่า เหมือนๆ กับที่เราชอบรถสีอะไร เวลามองไปบนถนน เราก็เลยรู้สึกว่ามีรถสีนั้นมากเป็นพิเศษ ทั้งที่จริงๆ แล้วรถสีอื่นๆ ก็มีไม่น้อย ปรากฏการณ์แบบนี้ ผมคิดว่า เข้าข่ายเป็น Selective Attention กลายๆ คือเลือกที่จะมองหาเฉพาะสิ่งที่เราสนใจ ส่วนอะไรที่ไม่อยู่ในข่ายที่ว่า เรามักมองข้ามไปซะอย่างนั้น ... เวลาผมออกสำรวจตลาด เวลามองหา Brand ของตัวเอง ก็มักจะมองข้าม Brand อื่นๆ ไปซะหมด เพราะใจเรากำหนดโฟกัสไว้แล้ว ว่ากำลังมองหาอะไรอยู่ บางครั้งทำให้เสียประสิทธิภาพในการมองภาพใหญ่และปัจจัยรายล้อมไปโดยปริยาย ซึ่งอาจทำให้มองข้ามข้อมูลดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย เกลียดอะไร ใจก็ไปจับอยู่กับมัน แล้วก็เลยเผลออุปาทานไปว่า "นั่นไง เกลียดอะไรได้อย่างนั้นจริงๆ" ทั้งที่สิ่งที่เราเกลียดหรือชอบน่ะ เกิดขึ้นบ่อยพอๆ กันนั่นแหละ ... ลองคัดแยกรถที่ขับผ่านหน้าเราไปซักพัก ก็จะเริ่มรู้สึกว่า นอกจากรถสีที่เราชอบแล้ว รถสีอื่นก็สวยดีนะ เช่นเดียวกับ ลองฟังเรื่องที่คนอื่น...

Post#2-102: ส่วนผสมแห่งการบริหาร

Post#2-102: เมื่อครู่ใหญ่ๆ ที่ผ่านมา ผมนั่งคุยอยู่กับเพื่อนเก่าที่เคยทำงานด้วยกันมาเมื่อกว่า 10 ปีก่อน และเธอพึ่งจะมาเริ่มทำกิจการของตัวเองเมื่อไม่นานมานี้เอง หลักใหญ่ใจความของการคุยกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับว่า เธอจะขยายธุรกิจยังไงดี? โดยมากแล้ว คนที่เป็น Entrepreneur เป็นพวกนักรบที่ชอบบุกไปข้างหน้า เรียกว่า เป็นพวก "เดินหน้าท้าตะลุย" แต่มักจะไม่ค่อยดูหลังบ้านว่าตามทันรึเปล่า เท่าที่ผมทำงานมา ไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดปีละไม่กี่ล้านบาท ไปจนกระทั่งกิจการขนาดปีละหลายแสนล้าน ถ้าเจ้าของกิจการเป็นผู้บริหารซะเอง ผมก็พบว่าเรื่องนี้ยังเป็นเรื่อง classic อยู่ดี แต่เมื่อกิจการขยายไปไกลกว่ากำลังของคนๆ เดียวจะดูแลไหว เมื่อนั้น Entrepreneur จึงมักมองหา Professional หรือนักบริหารมืออาชีพเข้ามาช่วย ช่วยอะไร? ก็ช่วยให้หลังบ้านเดินตามหน้าบ้านทัน ช่วยให้ความไม่เข้าใจกันของทีมงานภายในลดน้อยลง เริ่มคุยภาษาเดียวกัน และมีทิศทางที่ชัดเจน ... คนที่มีกิจการครอบครัวให้ไปสืบทอด จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องไปฝึกวิชาให้กล้าแกร่งก่อนที่จะกลับไปเป็นใหญ่ หลายๆ กิจการที่รุ่นพ่อท...

Post#2-101: ปรัชญาน้ำเดือด

Post#2-101: เวลานั่งทอดอารมณ์อยู่ริมฝั่งน้ำ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมองเห็นหน้าของเราสะท้อนผืนน้ำกลับมา ว่าแล้วเราก็ซนเอาก้อนหินขว้างลงไปให้น้ำมันกระเพื่อมเล่นๆ แล้วก็มองดูวงคลื่นกระจายตัวห่างๆ ออกไป เคยสังเกตบ้างมั๊ยครับ ว่าขณะที่น้ำกระเพื่อมเป็นวงคลื่นน่ะ เรามองลงไปเห็นเงาสะท้อนในน้ำรึเปล่า? ลองนึกดูซัก 1 นาทีนะครับ ... คำตอบน่าจะเหมือนๆ กันนะครับ ก็คือมองไม่เห็นหรือไม่ก็เห็นไม่ชัดเจน เช่นกันล่ะครับ ในทางพระท่านสอนไว้ จะนั่งนึกตรึกตรองอะไรซักเรื่องซักอย่างน่ะ ก็ควรจะทำอารมณ์ให้ใกล้เคียงกับความนิ่งให้มากที่สุด เมื่อใจนิ่งก็เปรียบเหมือนน้ำนิ่ง มองเห็นเงาสะท้อนได้ชัดเจน ถ้าใจไม่นิ่ง สั่นไหวไปมาด้วยอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ก็เปรียบเหมือนน้ำกระเพื่อม ซึ่งไม่สามารถสะท้อนความจริงใดๆ ให้เห็นได้ ผมนั่งพิจารณาคำพระนี้ ก็เห็นจริงด้วยอย่างมิอาจโต้แย้ง ... นึกมาถึงตรงนี้ ผมก็เข้าไป search ดูว่า ฝรั่งมีข้อคิดคล้ายๆ แบบนี้อยู่บ้างมั๊ย ก็ไปเจอที่คล้ายๆ กันอยู่ประโยคนึงครับ เค้าว่าไว้ว่า... "You can't see your reflection in boiling water. Similarly, you can't see the trut...

Post#2-100: ตั้งมั่นพอมั๊ย?

Post#2-100: แน่นอนว่าปลายปีใกล้เข้ามา ก็เป็นช่วงเวลาที่การประเมินผลงานต่างๆ จะเริ่มต้นขึ้น แต่ไม่ว่าองค์กรที่เราๆ ท่านๆ ทำงานกันอยู่ จะมีการประเมินหรือไม่ก็ตาม ผมก็ต้องเชิญชวนให้เราประเมินตัวเอง ทบทวนซักนิดว่า งานที่สำเร็จหรือล้มเหลวน่ะ มีอะไรเป็นปัจจัยที่ข้องเกี่ยวบ้าง ที่เราทำดีอยู่แล้วก็จะได้ทำต่อไป ที่ยังไม่ดีนักเราจะได้ปรับปรุงแก้ไขได้ บ่อยครั้งที่ผมทบทวนตัวเองและพบว่า งานที่ล้มเหลวหรือผิดพลาดทั้งหลาย ไม่ได้เกิดจากแผนงานที่ไม่ดีพอ หรือไม่ได้เกิดจากมีทรัพยากรไม่เพียงพอแต่อย่างใด แต่เกิดจาก เรามี "ความตั้งมั่นที่จะให้งานสำเร็จ" ไม่เพียงพอต่างหาก เรียกว่า บางครั้งเราอาจจะยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ ง่ายเกินไปนั่นเอง ลองทบทวนดูเถอะครับ ที่เราเลิกทำงานอะไรบางอย่างกลางคันน่ะ บ่อยครั้งไม่ใช่เพราะเราทำงานนั้นผิดพลาดจนแก้ไขไม่ได้ แต่เกิดจากใจเราเองนั่นแหละที่บอกตัวเราเองว่า "ไม่ไหวแล้ว" หรือ "ยอมแพ้แล้ว" คงเหมือนกับที่ Bruce Lee เคยว่าไว้... "There is no such thing as defeat, until you admit so yourself, but not until then." แปลว่า "มัน...

Post#2-99: นิทานจีน "ความขัดแย้ง"

Post#2-99: กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าท่านหนึ่งเข้าไปเสนอขายสินค้าในตลาด เมื่อจัดที่ทางสำหรับค้าขายแล้ว พ่อค้าท่านนั้นจึงป่าวประกาศเรียกชาวบ้านและเหล่าชาวยุทธ์ให้ล้อมวงเข้ามา เพื่อให้ได้มีโอกาสชื่นชมเหล่าศาสตราที่เลอค่าที่สุดในยุทธภพ... มีจอมยุทธ์ท่านหนึ่ง หยิบหอกเล่มหนึ่งขึ้นมา...ทันทีนั้น พ่อค้าก็เริ่มบรรยายสรรพคุณของมัน ว่าเป็นหอกวิเศษที่ไม่มีสิ่งใดที่จะแทงทะลุมิได้ เรียกว่าเป็นศาสตราวุธแห่งเทพ มีค่าควรแก่ที่จอมยุทธ์ลือนามท่านใดก็ตาม ควรมีไว้ในครอบครอง ระหว่างที่พร่ำพรรณนาถึงความวิเศษของหอก ก็มีจอมยุทธ์อีกท่านหนึ่ง หยิบโล่ขึ้นมาจากกองศาสตราวุธอันหลากหลายนั้น...พ่อค้าเหลือบตาไปเห็น จึงร้องทักว่า "จอมยุทธ์ท่านนี้มีสายตาแหลมคมยิ่งนัก โล่ที่ท่านหยิบขึ้นมา เป็นสมบัติตกทอดมาในตระกูลขุนนางเลื่องชื่อ นับ เป็นโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพ ไม่มีศาสตราวุธใดจะทำอันตรายได้" ว่าพลางชูหอกและโล่ในมือ พลางป่าวร้องให้เหล่าจอมยุทธ์ที่รายล้อมอยู่ เสนอราคา... ระหว่างที่เหล่าจอมยุทธ์ต่างพากันแย่งกันประมูลอาวุธวิเศษทั้ง 2 ชิ้น พลันมีมาณพผู้หนึ่ง เอ่ยแทรกถามพ่อค้าด้วยเสี...

Post#2-98: ego บังตา

Post#2-98: บ่อยครั้งที่เราจะได้ยินประโยคประมาณว่า "สังคมนี้อยู่ยากขึ้นไปทุกที" เพราะแม้เราจะอยู่ของเราเฉยๆ พยายามไม่ยุ่งกับใครแต่ก็ไม่วายต้องมีเรื่องวุ่นวายมากระทบเราอยู่ดี อารมณ์เหมือนเราก็ขับรถของเราอยู่ดีๆ ระมัดระวังไม่ขับคล่อมเลน ไม่ปาดซ้าย ไม่แซงขวา ก็ยังไม่วายที่รถคันข้างๆ จะขับมาชนเราเข้าจนได้ ผมว่าเรื่องแบบนี้ เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาโลก การที่จะไม่ขับรถไปชนคนอื่นหรือจะไม่ให้คนอื่นขับรถมาชนเราน่ะ มีอยู่ทางเดียวคือซุกตัวอยู่เฉยๆ กับบ้าน...ออกมาอยู่บนท้องถนนเมื่อไหร่ ก็ต้องเข้าใจธรรมชาตินี้ ... คราวนี้ ผมอยากชวนให้พวกเรานั่งทบทวนดูให้ดีๆ ว่า ตลอด 365 วันของเรา เจอวันที่โชคร้าย ขับรถไปชนคนอื่นกี่วัน และถูกคนอื่นขับรถมาชนกี่วัน? ถ้าใครขับไปชนคนอื่นได้ทุกวัน ก็ต้องกลับมาพิจารณาตัวเองมากๆ หน่อย ว่าไประรานชาวบ้านด้วยเหตุอะไร? เพราะถ้าเป็นคนปกติ รับรองได้ว่า จะไม่ชอบมีเรื่องกับใครเลย คือไม่อยากขับรถไปชนคนอื่นแน่ๆ ส่วนกรณีที่มีใครขับมาชนเรา (ประเภทเจตนามาหาเรื่อง) ผมก็ต้องบอกว่า คนเราไม่น่ามีใครเกลียดได้ถึงขนาดจะมีใครตั้งใจขับรถมาชนเราไ...

Post#2-97: You can!

Post#2-97: เมื่อวานผมเข้าไปดู Britain's Got Talent ย้อนหลัง แล้วก็ให้ประทับใจกับผู้เข้าแข่งขันคู่หนึ่ง ผู้หญิงชื่อ Ms.Paddy ขณะที่แสดงอายุเกือบ 80 ปีแล้ว เธอย้ายไปอยู่สเปนกับสามี และไม่นานต่อจากนั้น สามีเธอก็จากไป... แทนที่เธอจะเลือกหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เธอมองหาสิ่งท้าทายใหม่ๆ ที่จะทำให้ชีวิตของเธอมีความหมาย และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ สิ่งที่ปรากฏใน link คู่เต้นของเธอบอกว่า "If she can, everybody can." แปลว่า "ถ้าเธอทำได้, ทุกคนก็ทำได้" ใช่ครับ ทุกคนทำได้ แต่ไม่ใช่ทุกคน "คิด" ที่จะลงมือทำ...ถ้าตั้งใจจะเริ่มต้นใหม่ ก็ไม่มีอะไรยากเกินกว่า "ทัศนคติ" ที่จะต่อสู้ อะไรคืออุปสรรคของการที่จะไม่ยอมลุกขึ้นมาสู้? ความพิการ? อายุ? ไม่ใช่ทั้งนั้นล่ะครับ "ทัศนคติ" ต่างหาก ที่เป็นตัวกำหนด ลุกขึ้นมาทำเลยครับ ถ้าทำเต็มที่แล้วยังไม่ดี ก็เป็นเรื่องลิขิตฟ้าแล้ว... http://youtu.be/hjHnWz3EyHs

Post#2-96: Dead Line

Post#2-96: คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆ คนทำงานตามแต่ว่า dead line ไหนจะมาถึงก่อน เรื่องแบบนี้ฟันธงยาก ว่าที่ต้องทำงานแบบนี้น่ะ เป็นเพราะว่างานเยอะมากจริงๆ หรือว่าหมักงานไว้ รอจนใกล้ๆ dead line แล้วค่อยทำ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน คุณภาพของงานมักไม่เป็นทึ่น่าพึงใจซักเท่าไหร่ ยกเว้นไปเจอระดับ "เทพ" จริงๆ ที่รอ build อารมณ์ แล้วส่งงานได้ทันตามกำหนดแบบไม่มีที่ติ อารมณ์เดียวกับ อ่านหนังสือก่อนสอบวันเดียว แต่ได้คะแนนดีกว่าคนที่อ่านล่วงหน้ามาเป็นสัปดาห์ ว่าอย่างนั้น แต่ไม่ว่าใครถนัดแบบไหนก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ ตราบเท่าที่ส่งงานได้ทันเวลา ด้วยมาตรฐานในระดับที่ดีเยี่ยม ส่วนตัวผมเองแล้ว เวลาต้องมาปั่นงานเพื่อส่งเนี่ย งานที่ได้ก็มักจะไม่ perfect ต้องมีจุดบกพร่องนิดๆ หน่อยๆ หรือต้องมีจุดที่ผมมักจะโทษตัวเองเสมอ ว่างานน่าจะดีกว่านี้ ดังนั้น ก่อนจะรับงาน ก็ควรสรุปเรื่องความคาดหวังและกำหนดส่งงานให้ชัดเจนครับ ไม่งั้นเราเองจะกลายเป็นผู้เดือดร้อน ทั้งต้องมานั่งปั่น (หรือเผา) งาน ทั้งต้องตกเป็นจำเลยหากคุณภาพงานไม่ถึงขั้น การจะเป็นมืออาชีพที่ดีนั้น พอใจกับงานแค่เท่าที่เป็นไม่ได...

Post#2-95: ศรศิลป์ไม่กินกัน

Post#2-95: เคยได้ยินสำนวนที่ว่า "ศรศิลป์ไม่กินกัน" มั๊ยครับ? ลองแปลความหมายนี้โดยไม่เปิดพจนานุกรมหรือเช็ค google ดูนะครับ ให้เวลาคิด 3 นาทีครับ ... ผมเชื่อว่า เกือบทุกคน น่าจะตอบว่า "คน 2 คนที่ไม่ลงรอยกัน หรือไม่ถูกกัน" ซึ่งผมเองก็อยู่ในข่ายที่ว่า แต่ความหมายที่แท้จริง แปลว่า "คน 2 คน ที่ต่อสู้กัน แต่ต่างฝ่ายต่างทำอะไรกันไม่ได้" ต่างหาก เรียกว่า เราต่างก็ใช้สำนวนนี้ด้วยความหมายผิดๆ กันมานาน จนความหมายที่ผิดๆ นั้น กลายเป็นความหมายที่ถูกไปซะอย่างนั้น ต่อให้ผมนำความหมายจริงมาบอกแล้วก็ตาม ก็ไม่อาจลบล้างความหมายที่เราใช้กันผิดๆ มาอย่างยาวนานได้ง่ายๆ ... เรื่องบางเรื่องในชีวิตการทำงานเอง ก็ไม่ได้ต่างจากสำนวนที่แปลความหมายที่ผิดพลาด... บ่อยครั้งเราจึงต้องเผชิญกับเหตุผลที่เจ้านาย, ลูกน้อง หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานของเรา ที่ว่า "ใครๆ เค้าก็ทำกัน" (ซึ่งผมเคยคุยให้ฟังแล้วใน Post#98) ถ้าสิ่งที่ใครๆ เค้าก็ทำกัน เป็นสิ่งที่ดีที่งาม ต่อให้เป็นสิ่งที่ขัดกับหลักนิติธรรม แต่เป็นสิ่งดีงามตามหลักศีลธรรม ก็ทำตามเค้าไปเถอะครับ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผม...

Post#2-94: ขอบคุณที่ทำให้เราแข็งแกร่ง

Post#2-94: ผมเชื่อว่า บ่อยครั้งที่ผู้คนรอบข้างทำให้เราไม่พอใจ บ้างก็เป็นเรื่องไม่พอใจเล็กๆ บ้างก็เป็นเรื่องไม่พอใจระดับใหญ่มาก แล้วก็หนีไม่พ้นที่เราก็มักจะพร่ำบ่นก่นด่าคนที่ทำให้เราไม่พอใจเหล่านั้น บ้างก็แสดงอาการตอบโต้ต่อหน้า บ้างก็ไปด่าหรือนินทาพวกเค้าให้เพื่อนของตัวเองฟัง ที่แน่ๆ ก็คือพอเราต้องไปเจอหน้าหรือต้องพูดถึงคนที่ทำให้เราไม่พอใจที่ว่า ตัวเราก็เป็นอันไม่มีความสุขไปซะทุกที ที่แน่ๆ อีกอย่างก็คือ บ่อยครั้งที่คนที่ทำให้เราไม่พอใจเหล่านั้น เค้าก็ไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ได้ทำอะไรให้ตัวเราไม่พอใจไปซะแล้ว สรุปว่า เรามัวแต่แบกความไม่พอใจนั้นๆ ไว้เอง โดยที่ไม่มีใครบังคับเราทั้งสิ้น เราเลือกที่จะทุกข์ไปเอง หรือมิใช่? ... มีวิธีคิดหนึ่ง ที่อาจเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการรับมือกับคนที่ทำให้เราไม่พอใจเหล่านั้น ลองอ่านแล้ววิเคราะห์ตามนะครับ เค้าว่าไว้ว่า... "There will always be people in your life who treat you wrong. Be sure to thank them for making you strong." แปลว่า "ในชีวิตของเรานั้น เราจะพบเจอคนที่ทำให้เราไม่พอใจอยู่เสมอนั่นล่ะ จงขอบคุณพวกเค้าซะ เพราะนั่นทำให้...

Post#2-93: รู้เขา รู้เรา

Post#2-93: ในการเจรจาธุรกิจอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่ก็จะหนีไม่พ้นการชิงไหวชิงพริบในการเจรจาต่อรอง (ซึ่งผมเคยคุยให้ฟังแล้วใน Post#260 และ #286) แม้ผมจะชอบการเจรจาแบบ win-win ก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่า น้อยครั้งนักที่คู่เจรจาทั้ง 2 ฝ่าย จะกลับไปด้วยความพอใจ ด้วยเพราะต่างคนต่างก็ต้องการ cake ส่วนที่ใหญ่กว่า หรือต้องการเป็นผู้ชนะที่ใหญ่กว่านั่นเอง การเจรจาต่อรองสำหรับผม ก็เหมือนเรากำลังเล่นไพ่เก้าเกผสมกับรัมมี่ (ขออภัยสำหรับท่านที่ไม่รู้เรื่องการเล่นไพ่ และผมไม่ได้หมายความหรือสนับสนุนให้ใครเล่นไพ่นะครับ) หมายความว่า เราต้อง “อ่าน” สีหน้า, แววตา, อารมณ์ และ “ไต๋” ที่เค้ากลบเอาไว้ให้ได้ บางครั้งในการเจรจา หากอีกฝ่ายไม่เปิดช่องว่าง เราจึงอาจต้องเป็นฝ่ายเปิดช่องว่างซะเอง เรียกว่า แผนเปิดช่องเพื่อลวงให้คู่เจรจาเปิด “ไต๋” นั่นแหละครับ เสี่ยงทิ้งไพ่ที่เราต้องการน้อยที่สุด และรอดูปฏิกิริยาว่าเค้าทำยัไงงกับไพ่ที่เราทิ้งลงไป เค้าจะหยิบไพ่เราขึ้นไป หรือจั่วใหม่ขึ้นจากกอง ล้วนทำให้เราสามารถประเมิน “ไต๋” ที่เค้ากลบไว้ได้ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องประเมินความ "เก๋า" ของคู่เจรจาข...

Post#2-92: ประหยัด vs ตระหนี่

Post#2-92: ช่วงบ่ายวันนี้ ผมคุยกับลูกน้องแล้วก็ทำให้รู้ว่า บางครั้งเค้าแยกความแตกต่างระหว่าง "ประหยัด" และ "ตระหนี่" ไม่ออก ผมเชื่อว่า ใครก็ตามที่เป็น "มนุษย์เงินเดือน" จะได้ยินเจ้านายก็ดี หรือฝ่ายบัญชีก็ดี พูดให้ฟังว่า ช่วงเศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ จะต้องรัดเข็มขัดค่าใช้จ่าย อยากให้ทุกคนช่วยกันประหยัด...แต่แปลกที่คนพูดกับคนฟังตีความไปคนละขั้วเลย "ประหยัด" หมายความว่า อะไรที่งดใช้หรือใช้ให้น้อยลงได้ โดยส่งผลต่อ Productivity น้อยที่สุดหรือไม่ส่งผลกระทบเลย ก็ควรงด เรียกว่า กิจกรรมอะไรที่ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ทางตรงในระยะสั้น ก็ควรงด, ลด หรือชะลอไปก่อน เช่น การลงทุนเพื่อยอดขายในอีก 3 ปีข้างหน้า, ถ้าช่วงนี้เศรษฐกิจมันตึงๆ เราก็เลื่อนการลงทุนไปก่อน ไว้ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ อะไรแบบนี้ เป็นต้น ส่วน "ตระหนี่" ก็หมายความว่า ไปลด, งด, เลื่อน ในกิจกรรมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายหรือผลกำไรของบริษัทฯ ซึ่งโดยมากเป็นเพราะตีความคำว่า "ประหยัด" ไม่ถูกต้องนั่นเองครับ หมายความว่า ถ้าเราตระหนี่ ก็จะทำให้ Productivity มีปัญหาในทันท...