Skip to main content

Post#2-91: ตอบถูก 10 ข้อรวด

Post#2-91:
สมมติว่ามีคำถาม 10 ข้อให้ตอบ ถ้าตอบถูกหมดจะได้ 1 ล้านบาท แต่ถ้าตอบผิด 1 ข้อ ข้อที่เหลือจะมีค่าแค่ 100 บาท

ถามสั้นๆ ง่ายๆ ว่า อยากจะตอบผิดที่ข้อแรก หรือข้อสุดท้ายครับ?

ไม่ได้ให้คิดตามซะนาน งั้นวันนี้ลองคิดดูซัก 1 นาทีนะครับ

...

หลายคนคงงงว่า มันต่างกันตรงไหน ยังไงก็ได้เงินแค่ 900 บาท เท่ากัน?

ใช่ครับ ถ้าคิดเชิงคณิตศาสตร์ จะผิดที่ข้อแรกหรือข้อสุดท้าย ยังไงก็ได้เท่ากัน แต่ในความเป็นจริง จะเป็นแบบนั้นจริงๆ รึเปล่านะ?

ว่ากันว่า สิ่งที่ผลักดันให้มนุษย์เดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งก็คือ "ความหวัง" เรียกว่า ตราบเท่าที่มีความหวัง เราจะไม่มีวันหยุดเดินหน้า...

คราวนี้ลองวิเคราะห์คำถามที่ผมถามใหม่ครับ...ยังตอบว่าเหมือนกันรึเปล่า?

ใช่ครับ ถ้าตอบคำถามผิดตั้งแต่ข้อแรก โอกาสที่เราจะได้ 9 เต็ม 10 อาจจะลดน้อยลงไปอีกมาก เหตุที่ว่า "ความหวัง" มันหมดลงไปตั้งแต่ต้นซะแล้ว

นี่เอง ที่เป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจตั้งแต่ตอนเริ่มต้นในงานทุกๆ อย่าง เรียกว่า เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

...

ถามใหม่ครับ...

แม้จะตอบผิดตั้งแต่ข้อแรก หมดโอกาสได้เงินล้านไปอย่างรวดเร็ว ถามว่า จะปล่อยให้จบด้วยคะแนน 1-2 เต็ม 10 ดี หรือว่าจะตั้งใจตอบให้ได้คะแนนมากที่สุดไว้ก่อน?

ตอบได้ 1-2 ข้อ กับ 7-8 ข้อ ค่าเงินอาจจะต่างกันไม่เยอะ แต่ความรับผิดชอบต่อกองเชียร์และศักดิ์ศรีของเรามันต่างกันเยอะนะครับ

...

ถามใหม่อีกที...เปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ ถ้าตอบถูก 10 ข้อติดกัน ได้ 1 ล้าน แต่เมื่อไหร่ที่ตอบผิด ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เสมอ (เงื่อนไขเดียวกับ "ปริศนาฟ้าแลบ" นั่นล่ะครับ)

คราวนี้ แม้ผิดก็ยังจะตั้งใจเริ่มนับหนึ่งใหม่รึเปล่าครับ?

...

ความจริงชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้ ตรงที่เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ได้เสมอ...จะตอบถูก 10 ข้อรวดน่ะไม่ง่าย แต่ถ้าวันที่จังหวะและโอกาสของเรามาถึง ตอบถูก 10 ข้อรวดได้ขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ได้จะมีมูลค่าและคุณค่ามหาศาลแน่ๆ

ว่าแต่ว่า...เราพร้อมจะเริ่มใหม่ทุกครั้งที่ตอบผิดรึเปล่าล่ะครับ?

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...