Skip to main content

Post#2-98: ego บังตา

Post#2-98:
บ่อยครั้งที่เราจะได้ยินประโยคประมาณว่า "สังคมนี้อยู่ยากขึ้นไปทุกที" เพราะแม้เราจะอยู่ของเราเฉยๆ พยายามไม่ยุ่งกับใครแต่ก็ไม่วายต้องมีเรื่องวุ่นวายมากระทบเราอยู่ดี

อารมณ์เหมือนเราก็ขับรถของเราอยู่ดีๆ ระมัดระวังไม่ขับคล่อมเลน ไม่ปาดซ้าย ไม่แซงขวา ก็ยังไม่วายที่รถคันข้างๆ จะขับมาชนเราเข้าจนได้

ผมว่าเรื่องแบบนี้ เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาโลก การที่จะไม่ขับรถไปชนคนอื่นหรือจะไม่ให้คนอื่นขับรถมาชนเราน่ะ มีอยู่ทางเดียวคือซุกตัวอยู่เฉยๆ กับบ้าน...ออกมาอยู่บนท้องถนนเมื่อไหร่ ก็ต้องเข้าใจธรรมชาตินี้

...

คราวนี้ ผมอยากชวนให้พวกเรานั่งทบทวนดูให้ดีๆ ว่า ตลอด 365 วันของเรา เจอวันที่โชคร้าย ขับรถไปชนคนอื่นกี่วัน และถูกคนอื่นขับรถมาชนกี่วัน?

ถ้าใครขับไปชนคนอื่นได้ทุกวัน ก็ต้องกลับมาพิจารณาตัวเองมากๆ หน่อย ว่าไประรานชาวบ้านด้วยเหตุอะไร?

เพราะถ้าเป็นคนปกติ รับรองได้ว่า จะไม่ชอบมีเรื่องกับใครเลย คือไม่อยากขับรถไปชนคนอื่นแน่ๆ

ส่วนกรณีที่มีใครขับมาชนเรา (ประเภทเจตนามาหาเรื่อง) ผมก็ต้องบอกว่า คนเราไม่น่ามีใครเกลียดได้ถึงขนาดจะมีใครตั้งใจขับรถมาชนเราได้ทุกวัน มาหาเรื่องเราได้บ่อยๆ

ส่วนไอ้ประเภทขับมาเฉี่ยวนิดๆ กันชนมาสีกันหน่อยๆ น่ะ มันเรื่องธรรมดาครับ คงไม่ต้องนับเป็นอุบัติเหตุร้ายแรง

...

กรณีที่ขับรถเฉี่ยวกันนิดๆ หน่อยๆ ถ้าเราเห็นว่าไม่หนักหนาอะไร ก็ปล่อยๆ ไปบ้างเถอะครับ ขืนไปเรื่องมาก เอาเรื่องเล็กๆ มาเป็นอารมณ์ สุดท้ายเรื่องราวก็ลุกลามใหญ่โต จากเรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ จากหนัง sit com สั้นๆ ก็อาจจะกลายเป็น series

เหตุอันวุ่นๆ วายๆ รอบตัวก็ล้วนจากเราไม่ค่อยจะ "ปล่อย" อะไรที่มันควรจะปล่อยนี่ล่ะครับ ถือนู่นแบกนี่อยู่ตลอดเวลา ขนของที่แบกที่ถืออยู่นั่นแล้ว จนข้าวของมันพะรุงพะรังล้นมือ พะเนินเทินทึกจนมาบังสายตา

เราก็เลยมองไปไหนไม่ได้ไกลซักที มองไปก็จะเห็นแต่กองสิ่งของและ ego ที่แบกที่ถืออยู่นั่นเอง...

...

ถอดตัวงุ้มๆ โง้งๆ ของตัว g ในคำว่า "ego" ออก ให้กลายเป็นตัว c จะดีกว่าครับ จาก "ego" ที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว ก็จะกลายเป็น "eco" ที่สื่อถึงการอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย

สบายใจกว่าเยอะครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...