Skip to main content

Post#2-84: รายทางระหว่างทริป#5

Post#2-84:
พฤติกรรมเรื่องทิปของคนที่นี่เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความโหดในมุมมองของคนไทยอย่างเราๆ เป็นอย่างมาก

เวลาที่เรียกเช็คบิล ร้านจะคำนวณให้เลยว่า 18% เป็นเงินเท่าไหร่, 20% เป็นเงินเท่าไหร่ หรือ 25% เป็นเงินเท่าไหร่, โดยมากแล้ว ก็มักจะไม่ต่ำกว่า 15% ไม่ว่าจะไปร้านไหน

เท่าที่ผมสังเกต ค่าทิปนี่ไม่ค่อยเกี่ยวกับระดับของการบริการ เหมือนเป็นธรรมเนียมซะล่ะมากกว่า โดยมากแล้ว ลูกค้าก็จะให้ที่ขั้นต่ำนั่นแหละครับ

เรียกว่า ลูกค้าน่ะทำใจตั้งแต่ก่อนสั่งอาหารแล้ว ว่ายังไงซะก็จะต้องจ่ายค่าบริการส่วนนี้ด้วย

ฟังจากที่น้องสาวผมเล่า การบริการทุกอย่างของที่นี่ ล้วนแล้วแต่ต้องให้ทิปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะไปตัดผม ทำเล็บ หรืออื่นๆ

นี่เป็นอีกหนึ่งนิสัยที่ผมไม่ค่อยปลื้มกับประเทศนี้ เพราะผู้คนส่วนใหญ่มักจะสะท้อนค่านิยมชอบเอาเปรียบชาวบ้านเกินไปซะหน่อย...จะบริการดีหรือไม่ดีก็คาดหวังว่าจะได้รับทิป

ส่วนบ้านเรา ส่วนใหญ่แล้ว การบริการมักออกมาจาก inner ของคนไทย เรียกว่า ยังไงก็ต้องบริการลูกค้าไว้ก่อน จะได้ทิปหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

พนักงานที่นี่ ทำงานหวังทิป ส่วนพนักงานที่บ้านเรา ทำงานหวังรอยยิ้มจากลูกค้า (ถ้าได้ทิปก็ถือเป็นโบนัส)

...

เมื่อทำงานเพื่อเงิน ใจจึงมุ่งอยู่ที่ผลประโยชน์จนลืมหน้าที่ การบริการที่ออกมาจึงเป็นไปแบบผิวเผิน มีความกระด้าง มีความหยาบ และไม่ได้สะท้อนความรู้สึกขอบคุณที่ควรมีต่อลูกค้าที่มาอุดหนุน

ส่วนการบริการแบบไทยๆ (ส่วนใหญ่) เมื่อมุ่งไปที่การทำงานเพื่องาน ใจจะอยู่ที่การบริการโดยไม่ได้คาดหวังถึงผลประโยชน์...การบริการของชาวไทยจึงมีความละเมียดละไมมากกว่า

รอยยิ้มที่ลูกค้าได้จากผู้ให้บริการชาวไทย จึงเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจของผู้ให้ มิใช่ใจของผู้ (คาดหวังว่าจะได้) รับ

...

แต่มาระยะหลังๆ นี้ ผมต้องบอกว่า น่าเสียดายที่เอกลักษณ์การบริการอันดีแบบไทยๆ ของเรา นับวันจะเสื่อมสลายไปกับวันเวลา...หัวใจของการบริการเริ่มเต้นน้อยถอยแรง ทำงานแบบขอไปที เร่งๆ รีบๆ ให้ลูกค้าพ้นจากตรงหน้าไปให้เร็วที่สุด

โดยเราจะพบพวก "เสื่อมสมรรถภาพทางการบริการ" เหล่านี้ได้ทั่วไป ทั้งศูนย์บริการมือถือทั้งหลาย, ร้านอาหาร, โรงแรม, โรงพยายาล, รถเมล์, รถแท็กซี่ รวมไปถึงสถานที่ราชการ

ออกตัวไว้นิดว่าคงไม่ใช่ทุกที่นะครับ แต่ก็ต้องบอกว่า เราเริ่มพบความบกพร่องของการบริการแบบนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ

สินค้าน่ะซื้อที่ไหนก็ไม่ต่างกัน แต่การบริการต่างหากครับ คือสิ่งที่สร้างจุดต่างและเอกลักษณ์ของแต่ละร้านค้าได้เป็นอย่างดี

ผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องการฝึกอบรมด้านบริการ จึงควรมุ่งเน้นตั้งแต่ "จิตสำนึก" ไม่ใช่แค่สอน "ขั้นตอน" แล้วก็ปล่อยให้พนักงานไปบริการลูกค้า

หุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่บริการตามขั้นตอนได้อย่างสมบูรณ์แบบ...ก็มิอาจสู้คนที่ผิดพลาดบ้างเล็กน้อยแต่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อและวิญญาณแห่งการบริการ...

ได้รับการบริการแบบเต็มใจเมื่อไหร่ อย่าลังเลที่จะให้ทิป พร้อมทั้งให้กำลังใจพวกเค้านะครับ ว่าเค้าได้ทำหน้าที่ของผู้ให้บริการที่ดีแล้ว...อย่างแท้จริง

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...