Post#2-76:
คืนวานนี้ อดีตลูกน้องผมคนหนึ่ง มาปรึกษาเรื่องธุรกิจใหม่ที่ทำอยู่
เธอพึ่งจะเริ่มต้นเป็นเจ้าของกิจการใหม่ และก็เหมือนส่วนใหญ่ของ "เถ้าแก่" มือใหม่ ที่ทำมากกว่า 1 กิจการไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าอะไรที่แปลงเป็นเงินได้ "เหมาหมด" ว่าอย่างงั้น
ความจริงก็ไม่ได้มีบทบัญญัติไว้ตายตัว ว่าเถ้าแก่มือใหม่ต้องทำเพียงธุรกิจเดียวเท่านั้น แต่การเริ่มต้นทุกอย่างพร้อมๆ กันต่างหาก ที่อาจจะทำให้ยากกว่าปกติไปมาก
...
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า เถ้าแก่มือใหม่มีแรงขับเคลื่อนมากแค่ไหน ผมคงต้องเปรียบเทียบกับ "นักกีฬาว่ายน้ำ"
แต่เป็นนักว่ายน้ำแบบที่พึ่งจะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกๆ ซึ่งยังวางแผนไม่เก่ง พอลงสระปุ๊บก็จ้วงเอาๆ หารู้ไม่ว่ากำลังว่ายแข่งรอบคัดเลือก ซึ่งจากการที่จ้วงเอาๆ นี่แหละทำให้ทำเวลาในรอบคัดเลือกได้ดี
...แต่พอเข้ารอบแข่งจริงแล้ว กลับหมดแรง ว่ายต่อไม่ไหว แพ้ไปอย่างน่าเสียดาย เรียกว่า แพ้เพราะวางแผนไม่ดี ว่าอย่างงั้น
...
นักกีฬาว่ายน้ำมือใหม่ ที่ฝึกซ้อมด้วยตัวเอง เวลาฝึกซ้อมก็มักจะเน้นว่ายไปเรื่อยๆ ให้กำลังอยู่ตัว แต่ถ้าฝึกซ้อมโดยมีโค้ช ก็จะฝึกทั้งด้านกำลัง และฝึกมากกว่าในด้านการวางแผน
วางแผนให้รู้ว่า ต้องสตาร์ทยังไง, สโตร์กมือยังไง, ตีขาเร็วแต่ไหน, กลับตัวยังไง, หายใจแบบไหน และ ฯลฯ
การแข่งขันว่ายน้ำไม่ใช่สักแต่การพุ้ยน้ำและตีขา เพื่อให้ตัวเคลื่อนไปข้างหน้า การทำธุรกิจก็ไม่ใช่สักแต่หาสินค้ามาขาย โดยไม่ได้รู้เลยว่า กำลังขายอะไร ขายใคร และจะขายไปได้อีกนานหรือไม่
จริงอยู่ที่โค้ชอาจจะไม่ได้ว่ายน้ำเก่งเท่านักกีฬา และที่ปรึกษาทางธุรกิจก็ (อาจจะ) ไม่ได้มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ทั้งโค้ชและที่ปรึกษาฯ นั้น ทำหน้าที่เป็น Check Point และ To Do List ให้กับนักกีฬาและเจ้าของกิจการ
นักกีฬาผู้ชาญฉลาดและเจ้าของกิจการที่มีกึ๋น จึงควรฟังคำแนะนำจากโค้ชและที่ปรึกษาฯ เพื่อนำมาปรับใช้กับจังหวะการว่ายน้ำและวิถีแห่งธุรกิจของตัวเอง
ไม่ใช่ฟังแล้วก็ทำตามทุกอย่างโดยไม่ลืมหูลืมตา เพราะผลการแข่งขันและผลลัพธ์ทางธุรกิจน่ะ อยู่ในมือเรา ไม่ใช่โค้ชหรือที่ปรึกษาฯ
ดังนั้น นักกีฬาจึงต้องมีความมุ่งมั่นที่เต็มร้อย พลังกายที่แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับ การชี้แนะและการวางแผนที่รอบคอบจากโค้ช...
เมื่อนั้น "เหรียญรางวัล" ก็อาจอยู่ใกล้แค่เอื้อมครับ
คืนวานนี้ อดีตลูกน้องผมคนหนึ่ง มาปรึกษาเรื่องธุรกิจใหม่ที่ทำอยู่
เธอพึ่งจะเริ่มต้นเป็นเจ้าของกิจการใหม่ และก็เหมือนส่วนใหญ่ของ "เถ้าแก่" มือใหม่ ที่ทำมากกว่า 1 กิจการไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าอะไรที่แปลงเป็นเงินได้ "เหมาหมด" ว่าอย่างงั้น
ความจริงก็ไม่ได้มีบทบัญญัติไว้ตายตัว ว่าเถ้าแก่มือใหม่ต้องทำเพียงธุรกิจเดียวเท่านั้น แต่การเริ่มต้นทุกอย่างพร้อมๆ กันต่างหาก ที่อาจจะทำให้ยากกว่าปกติไปมาก
...
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า เถ้าแก่มือใหม่มีแรงขับเคลื่อนมากแค่ไหน ผมคงต้องเปรียบเทียบกับ "นักกีฬาว่ายน้ำ"
แต่เป็นนักว่ายน้ำแบบที่พึ่งจะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกๆ ซึ่งยังวางแผนไม่เก่ง พอลงสระปุ๊บก็จ้วงเอาๆ หารู้ไม่ว่ากำลังว่ายแข่งรอบคัดเลือก ซึ่งจากการที่จ้วงเอาๆ นี่แหละทำให้ทำเวลาในรอบคัดเลือกได้ดี
...แต่พอเข้ารอบแข่งจริงแล้ว กลับหมดแรง ว่ายต่อไม่ไหว แพ้ไปอย่างน่าเสียดาย เรียกว่า แพ้เพราะวางแผนไม่ดี ว่าอย่างงั้น
...
นักกีฬาว่ายน้ำมือใหม่ ที่ฝึกซ้อมด้วยตัวเอง เวลาฝึกซ้อมก็มักจะเน้นว่ายไปเรื่อยๆ ให้กำลังอยู่ตัว แต่ถ้าฝึกซ้อมโดยมีโค้ช ก็จะฝึกทั้งด้านกำลัง และฝึกมากกว่าในด้านการวางแผน
วางแผนให้รู้ว่า ต้องสตาร์ทยังไง, สโตร์กมือยังไง, ตีขาเร็วแต่ไหน, กลับตัวยังไง, หายใจแบบไหน และ ฯลฯ
การแข่งขันว่ายน้ำไม่ใช่สักแต่การพุ้ยน้ำและตีขา เพื่อให้ตัวเคลื่อนไปข้างหน้า การทำธุรกิจก็ไม่ใช่สักแต่หาสินค้ามาขาย โดยไม่ได้รู้เลยว่า กำลังขายอะไร ขายใคร และจะขายไปได้อีกนานหรือไม่
จริงอยู่ที่โค้ชอาจจะไม่ได้ว่ายน้ำเก่งเท่านักกีฬา และที่ปรึกษาทางธุรกิจก็ (อาจจะ) ไม่ได้มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ทั้งโค้ชและที่ปรึกษาฯ นั้น ทำหน้าที่เป็น Check Point และ To Do List ให้กับนักกีฬาและเจ้าของกิจการ
นักกีฬาผู้ชาญฉลาดและเจ้าของกิจการที่มีกึ๋น จึงควรฟังคำแนะนำจากโค้ชและที่ปรึกษาฯ เพื่อนำมาปรับใช้กับจังหวะการว่ายน้ำและวิถีแห่งธุรกิจของตัวเอง
ไม่ใช่ฟังแล้วก็ทำตามทุกอย่างโดยไม่ลืมหูลืมตา เพราะผลการแข่งขันและผลลัพธ์ทางธุรกิจน่ะ อยู่ในมือเรา ไม่ใช่โค้ชหรือที่ปรึกษาฯ
ดังนั้น นักกีฬาจึงต้องมีความมุ่งมั่นที่เต็มร้อย พลังกายที่แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับ การชี้แนะและการวางแผนที่รอบคอบจากโค้ช...
เมื่อนั้น "เหรียญรางวัล" ก็อาจอยู่ใกล้แค่เอื้อมครับ
Comments
Post a Comment