Post#2-82:
โดยส่วนตัว ผมมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับประเทศผู้ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งนี้ซักเท่าไหร่ มากี่ครั้งก็เจอเรื่องไม่น่าประทับใจซักครั้ง
ครั้งนี้ก็ไม่เว้น...
ทั้งครอบครัวถูกกักอยู่ที่ ตม. เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง ด้วยเพราะการกรอกแบบฟอร์ม ตม. แบบขอไปทีของคนไทยทั่วไป ซึ่งผมเองไม่รู้จะโทษใครนอกจากโทษตัวเอง
ขอนำมาแชร์ไว้นิด เผื่อคนที่จะเข้าประเทศนี้ครับ
ตามกฎของ CBP (Customs and Boarder Protection) แล้ว ถ้าจะมีการนำเงินตราเข้าประเทศเกินกว่า US$10,000 จะต้องแจ้งในใบ CBP ซึ่งจะต้องรวมเอาเงินทุกสกุลเข้าไปด้วย
ที่ผมเจอดีก็คือ ดันเอาเงินไปเก็บรวมกันไว้ที่แม่ ทึกทักเอาเองว่า มากันตั้งหลายคน ถัวๆ กันไปก็ได้ และโชคดีซ้ำซ้อนที่พ่อดันพกเงินไทยมาซะมากมาย โดยที่ผมไม่ทราบมาก่อน รวมๆ กันแล้ว ทั้งครอบครัวผม (ใช้นามสกุลเดียวกัน) เลยโดนรวบ เพราะในใบ CBP (ใบที่ต้องกรอกเมื่อจะเข้าประเทศ) ดันไปติ๊ก no (เอาเงินมาไม่เกิน US$10,000) เค้าเลยกาหัวว่า ไม่ยอมแจ้งข้อมูลจริง
หลังจากใช้เวลาที่ ตม. อย่างยาวนาน จากนั้นก็โดนกักตัวทั้งครอบครัว ที่ด่านศุลกากรอีกครั้ง (เพราะโดนกาหัว “ต้องสงสัย” มาแล้ว)
เจ้าหน้าที่มองผมแบบกะ“เอาตาย” เลยครับ หน้าตานี่โหดมาก และสอบเค้นผมแบบ มีเงินเท่าไหร่ สกุลเงินไหนบ้าง บอกมาให้หมด ลงท้ายด้วยการคาดโทษว่า ครั้งต่อไปที่ผมมาเยือนประเทศนี้ ผมอาจจะถูกกักด้วยข้อสงสัยเดียวกัน
และคงไม่โชคดีแบบครั้งนี้ ที่เค้าจะปล่อยผมและครอบครัวให้เข้าประเทศได้ แต่ต้องกรอกประวัติอย่างละเอียดให้เค้า (อารมณ์ Black List นั่นแหละครับ)
หลังผมกรอกแบบฟอร์มเสร็จ เค้าถามลองใจผมต่อว่า จะนำเงินทั้งหมดออกมาให้ตรวจนับได้มั๊ย พูดความจริงทั้งหมดแล้วรึเปล่า?
ผมตอบไปว่า ผมยินดีให้ตรวจสอบ ซึ่งเจ้าหน้าที่คงเห็นว่า ผมคงพูดความจริงแล้ว ก็เลยไม่ตรวจ และถามประโยคที่ทำให้หัวใจผมหล่นไปที่ตาตุ่มว่า
“คุณนำอาหารใดๆ มาด้วยรึเปล่า และมีผลไม้ประเภทแอปเปิ้ล มาด้วยมั๊ย?"
...
ยังจำที่ผมเล่าใน Post ที่แล้วได้มั๊ยครับ เพราะแม่และน้องสาวคนเล็กกลัวผมจะห้ามไม่ให้ขนนั่น นู่น นี่ เข้าประเทศ ก็เลยเจตนาปิดบังความจริงผม ไม่ได้บอกว่าขนทั้งอาหารสดและแห้งมาแบบเต็มอัตราศึก ทั้งกุ้งแห้ง, หมูหยอง, พริกป่น, ปลากราย, หูฉลาม, ฯลฯ
นอกจากนั้นยังมีของกินกระจุกกระจิก (ด้วยจำนวนและปริมาณที่มากมายขนาดที่ผมมาเห็นตอนหลังนี่ ถึงกับตะลึงและมือเท้าอ่อน)
...
ทั้งที่พอจะรู้เลาๆ ว่ามีของต้องสำแดงอยู่บ้าง แต่ผมก็จำต้องหันไปถามแม่และน้องเป็นพิธี จากนั้นก็ทำใจดีสู้เสือ ตอบไปว่า มีอาหารประเภท Snack มาด้วย “นิดหน่อย”
และโชคดีครับที่เจ้าหน้าที่ปล่อยผ่านโดยไม่ตรวจกระเป๋า ซึ่งถ้าเปิดผมโดนดาบสองแน่ เพราะเพิ่งโดนดาบแรกเรื่องไม่แจ้งข้อมูลตามจริงเรื่องเงิน
เมื่อผ่านเหตุการณ์มาได้ มาถึงที่พัก ความจริงทุกอย่างว่าแม่ขนอะไรมาบ้างถึงได้ปรากฏต่อหน้า
...
ผมเก็บความกังวลนี้ไว้ ไม่อยากต่อว่าแม่ให้ท่านหงุดหงิด และรู้ดีว่า ยังไงแม่ก็ไม่สนใจที่จะฟัง ผมเลยเลือกเล่าให้น้องสาว 2 คนฟังแทน ว่าที่มาที่ไปและความร้ายแรงของเรื่องการไม่แจ้งความจริงเรื่องเงิน เป็นเรื่องซีเรียสของประเทศนี้อย่างยิ่ง เพราะกฎหมายเรื่องการฟอกเงิน กำลังกลับมาเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของพวกเค้า
ฝรั่งให้ความสำคัญกับการแจ้งและไม่แจ้งข้อมูลเป็นอย่างมาก และเค้าจะตีความตามข้อมูลที่เรากรอกลงไปเท่านั้น หากไม่ตรงกับคำให้การ เค้าก็จะถือเป็นเรื่องความไม่ซื่อสัตย์และไม่โปร่งใสทันที
ผมจึงอยากมาแชร์เตือนคนอื่นๆ ว่า อย่าพยายามทำอะไรแบบ “ศรีธนญชัย” เลยครับ เคราะห์หามยามร้ายขึ้นมา จะกลายเป็นปัญหาอย่างที่ผมโดน
ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเจ้าหน้าที่ เพราะเค้าทำหน้าที่ของเค้า แต่ผมโกรธตัวเองที่ประมาทและประเมินวิธีคิดของพวกเค้าแบบเข้าข้างตัวเอง
อย่าไปทึกทักเอาเองและเลี่ยงบาลีนะครับ เดินทางไปต่างประเทศ ขนของไปน้อยๆ น่ะดีที่สุดครับ และของกินประเภทของสดนี่ ไม่จำเป็นก็อย่าขนไปให้เป็นภาระเลยครับ ได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ
เบื่อเรื่องราวรายทางของผมหรือยังครับ?
โดยส่วนตัว ผมมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับประเทศผู้ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งนี้ซักเท่าไหร่ มากี่ครั้งก็เจอเรื่องไม่น่าประทับใจซักครั้ง
ครั้งนี้ก็ไม่เว้น...
ทั้งครอบครัวถูกกักอยู่ที่ ตม. เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง ด้วยเพราะการกรอกแบบฟอร์ม ตม. แบบขอไปทีของคนไทยทั่วไป ซึ่งผมเองไม่รู้จะโทษใครนอกจากโทษตัวเอง
ขอนำมาแชร์ไว้นิด เผื่อคนที่จะเข้าประเทศนี้ครับ
ตามกฎของ CBP (Customs and Boarder Protection) แล้ว ถ้าจะมีการนำเงินตราเข้าประเทศเกินกว่า US$10,000 จะต้องแจ้งในใบ CBP ซึ่งจะต้องรวมเอาเงินทุกสกุลเข้าไปด้วย
ที่ผมเจอดีก็คือ ดันเอาเงินไปเก็บรวมกันไว้ที่แม่ ทึกทักเอาเองว่า มากันตั้งหลายคน ถัวๆ กันไปก็ได้ และโชคดีซ้ำซ้อนที่พ่อดันพกเงินไทยมาซะมากมาย โดยที่ผมไม่ทราบมาก่อน รวมๆ กันแล้ว ทั้งครอบครัวผม (ใช้นามสกุลเดียวกัน) เลยโดนรวบ เพราะในใบ CBP (ใบที่ต้องกรอกเมื่อจะเข้าประเทศ) ดันไปติ๊ก no (เอาเงินมาไม่เกิน US$10,000) เค้าเลยกาหัวว่า ไม่ยอมแจ้งข้อมูลจริง
หลังจากใช้เวลาที่ ตม. อย่างยาวนาน จากนั้นก็โดนกักตัวทั้งครอบครัว ที่ด่านศุลกากรอีกครั้ง (เพราะโดนกาหัว “ต้องสงสัย” มาแล้ว)
เจ้าหน้าที่มองผมแบบกะ“เอาตาย” เลยครับ หน้าตานี่โหดมาก และสอบเค้นผมแบบ มีเงินเท่าไหร่ สกุลเงินไหนบ้าง บอกมาให้หมด ลงท้ายด้วยการคาดโทษว่า ครั้งต่อไปที่ผมมาเยือนประเทศนี้ ผมอาจจะถูกกักด้วยข้อสงสัยเดียวกัน
และคงไม่โชคดีแบบครั้งนี้ ที่เค้าจะปล่อยผมและครอบครัวให้เข้าประเทศได้ แต่ต้องกรอกประวัติอย่างละเอียดให้เค้า (อารมณ์ Black List นั่นแหละครับ)
หลังผมกรอกแบบฟอร์มเสร็จ เค้าถามลองใจผมต่อว่า จะนำเงินทั้งหมดออกมาให้ตรวจนับได้มั๊ย พูดความจริงทั้งหมดแล้วรึเปล่า?
ผมตอบไปว่า ผมยินดีให้ตรวจสอบ ซึ่งเจ้าหน้าที่คงเห็นว่า ผมคงพูดความจริงแล้ว ก็เลยไม่ตรวจ และถามประโยคที่ทำให้หัวใจผมหล่นไปที่ตาตุ่มว่า
“คุณนำอาหารใดๆ มาด้วยรึเปล่า และมีผลไม้ประเภทแอปเปิ้ล มาด้วยมั๊ย?"
...
ยังจำที่ผมเล่าใน Post ที่แล้วได้มั๊ยครับ เพราะแม่และน้องสาวคนเล็กกลัวผมจะห้ามไม่ให้ขนนั่น นู่น นี่ เข้าประเทศ ก็เลยเจตนาปิดบังความจริงผม ไม่ได้บอกว่าขนทั้งอาหารสดและแห้งมาแบบเต็มอัตราศึก ทั้งกุ้งแห้ง, หมูหยอง, พริกป่น, ปลากราย, หูฉลาม, ฯลฯ
นอกจากนั้นยังมีของกินกระจุกกระจิก (ด้วยจำนวนและปริมาณที่มากมายขนาดที่ผมมาเห็นตอนหลังนี่ ถึงกับตะลึงและมือเท้าอ่อน)
...
ทั้งที่พอจะรู้เลาๆ ว่ามีของต้องสำแดงอยู่บ้าง แต่ผมก็จำต้องหันไปถามแม่และน้องเป็นพิธี จากนั้นก็ทำใจดีสู้เสือ ตอบไปว่า มีอาหารประเภท Snack มาด้วย “นิดหน่อย”
และโชคดีครับที่เจ้าหน้าที่ปล่อยผ่านโดยไม่ตรวจกระเป๋า ซึ่งถ้าเปิดผมโดนดาบสองแน่ เพราะเพิ่งโดนดาบแรกเรื่องไม่แจ้งข้อมูลตามจริงเรื่องเงิน
เมื่อผ่านเหตุการณ์มาได้ มาถึงที่พัก ความจริงทุกอย่างว่าแม่ขนอะไรมาบ้างถึงได้ปรากฏต่อหน้า
...
ผมเก็บความกังวลนี้ไว้ ไม่อยากต่อว่าแม่ให้ท่านหงุดหงิด และรู้ดีว่า ยังไงแม่ก็ไม่สนใจที่จะฟัง ผมเลยเลือกเล่าให้น้องสาว 2 คนฟังแทน ว่าที่มาที่ไปและความร้ายแรงของเรื่องการไม่แจ้งความจริงเรื่องเงิน เป็นเรื่องซีเรียสของประเทศนี้อย่างยิ่ง เพราะกฎหมายเรื่องการฟอกเงิน กำลังกลับมาเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของพวกเค้า
ฝรั่งให้ความสำคัญกับการแจ้งและไม่แจ้งข้อมูลเป็นอย่างมาก และเค้าจะตีความตามข้อมูลที่เรากรอกลงไปเท่านั้น หากไม่ตรงกับคำให้การ เค้าก็จะถือเป็นเรื่องความไม่ซื่อสัตย์และไม่โปร่งใสทันที
ผมจึงอยากมาแชร์เตือนคนอื่นๆ ว่า อย่าพยายามทำอะไรแบบ “ศรีธนญชัย” เลยครับ เคราะห์หามยามร้ายขึ้นมา จะกลายเป็นปัญหาอย่างที่ผมโดน
ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเจ้าหน้าที่ เพราะเค้าทำหน้าที่ของเค้า แต่ผมโกรธตัวเองที่ประมาทและประเมินวิธีคิดของพวกเค้าแบบเข้าข้างตัวเอง
อย่าไปทึกทักเอาเองและเลี่ยงบาลีนะครับ เดินทางไปต่างประเทศ ขนของไปน้อยๆ น่ะดีที่สุดครับ และของกินประเภทของสดนี่ ไม่จำเป็นก็อย่าขนไปให้เป็นภาระเลยครับ ได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ
เบื่อเรื่องราวรายทางของผมหรือยังครับ?
Comments
Post a Comment