Skip to main content

Post#2-67: ลูกเรือ

Post#2-67:
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายในมหาสมุทรแห่งธุรกิจ นับเป็นช่วงเวลาวัดใจคนโดยแท้

ถ้าเปรียบองค์กรเป็นเรือลำหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ในการขนส่งสินค้าไปยังปลายทาง ผู้บริหารก็เปรียบเสมือนกัปตันและต้นหนเรือ พนักงานต่างๆ ก็เปรียบเสมือนกะลาสี

มีแต่กัปตัน ก็แล่นเรือไปไม่ได้ และเช่นกันที่ถ้ามีแต่กะลาสี ไฉนเลยเรือจะขนส่งสินค้าได้อย่างที่ตั้งเป้าหมาย

ระหว่างทาง เรือที่รอนแรมในมหาสมุทรแห่งการแข่งขันทางธุรกิจ อาจจะเผชิญมรสุม, อาจจะต้องแล่นฝ่าความเวิ้งว้าง หาเกาะแวะพักไม่ได้, อาจจะชนหินโสโครก และอีกสารพัดภัยที่จะต้องพบเจอ

นี่ยังไม่นับปัญหาภายในเรืออีกต่างหาก...

ทั้งกะลาสีที่กินแรงพวกพ้อง หรือทั้งต้นหนที่เกกมะเหรก, เจ้าของเรืองอแง, มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง, กัปตันสั่งการผิดพลาด และอีกสารพัดประดามี

...

เมื่อเรือต้องฝ่าทั้งอุปสรรคภายนอกและภายในเช่นนี้ ระหว่างทางจึงต้องมีการปรับปรุงเรือให้เข้ากับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ อาจมีบ้างที่ต้องเปลี่ยนเสากระโดงเรือ, เติมเสบียง, ไล่ต้นหนหรือกะลาสีชั้นเลวออก, หาคนใหม่ๆ มาร่วมลงเรือลำเดียวกัน, ฯลฯ

...เพียงเพื่อจุดประสงค์เดียว คือต้องพาเรือและเจ้าของเรือไปให้ถึงจุดหมายให้ได้

...

เรือทุกลำมักมีข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกันไป มีอาหารและสิ่งเติมเต็มที่ต่างๆ กัน, มีกฎเกณฑ์, มีบรรยากาศ และมีจิตวิญญาณที่ผิดแผก

ไม่ว่าจะกัปตันหรือกะลาสี ล้วนต้องเลือกเรือที่ชอบและใช่สำหรับตัวเอง...เป็นธรรมดาโลก

ระหว่างเดินเรือ ทั้งกัปตัน, ต้นหน หรือกะลาสีบางคน อาจเจอเรือลำใหม่ที่เค้าคิดว่าดีกว่า ก็อยู่ที่เค้าจะตัดสินใจยังไง...

บางคนจากไปอย่างผู้ชนะ ทิ้งไว้เพียงความอาลัยของทุกคนบนลำเรือ แต่บางคนก็จากไปอย่างผู้แพ้ ที่มีแต่ความเงียบงันของการลาจากไว้เบื้องหลัง

เป็นวัฏจักรที่หมุนเปลี่ยนเวียนว่ายอยู่เสมอ ตราบเท่าที่เค้าหรือเธอยังอยู่ในมหาสมุทรแห่งธุรกิจอันกว้างใหญ่นี้

...

ไม่สำคัญว่าวันที่เรามาลงเรือ เราสร้างความประทับใจให้กับคนที่อยู่บนเรือได้มากแค่ไหน...

ระหว่างที่อยู่บนเรือต่างหาก ที่จะพิสูจน์คุณค่าของเรา ว่าเราเป็น "ลูกเรือ" ที่ดีเพียงพอแล้วหรือไม่

และโปรดจำไว้ว่า ถ้าเราจะต้องลงจากเรือไปก่อนเรือจะเทียบท่า เราควรจะต้องลงไปด้วยความประทับใจที่ไม่ด้อยกว่าวันที่ขึ้นเรือ...

ลงจากเรือเมื่อเรือถึงท่า ส่งมอบสินค้า แล้วก็แยกย้ายกันไปเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ เป็นการลาจากที่มีเกียรติเปี่ยมศักดิ์ศรี มีเรื่องราวดีๆ ให้ไปเล่าต่อ และเป็นต้นทุนในการเริ่มการเดินเรือครั้งใหม่

...ย่อมแตกต่างจากคนที่สละเรือ เพราะบังเอิญว่าเรือแล่นไปชนหินโสโครก

ด้วยเหตุผลที่ว่า เราไม่ได้เป็นคนพาเรือไปชนหินนี่นา ว่าแล้วก็กระโดดลงน้ำลงกลางคันเพื่อว่ายไปเกาะเรือลำใหม่ ทั้งๆ ที่ทุกคนบนเรือกำลังช่วยกันซ่อมเรืออยู่

และไม่ได้นึกถึงที่ผ่านๆ มาเลยว่า อาหารที่ได้รับทุกๆเดือนน่ะ ก็มาจากโรงครัวบนเรือที่ตัวเองสละทิ้งอย่างไม่ใยดีนั่นล่ะ

ส่วนถ้าใครจำต้องลงจากเรือ เพราะกัปตันงี่เง่า, เจ้าของเอาเปรียบ ก็ขอได้รับความเห็นใจ และขอให้หาเรือใหม่ได้ในเร็ววัน

...

แต่ก่อนจะสรุปว่าถูกเอาเปรียบ ควรรู้ไว้บ้างเช่นกันว่า สำหรับเรือบางลำนั้น ในยามที่เรือแล่นฝ่าความเวิ้งว้างของมหาสมุทร ไร้เกาะแวะพัก ไร้แรงเกื้อหนุน...

เจ้าของและกัปตันเรือลำนั้น ต้องยอมอดอาหาร เพียงเพื่อให้ลูกเรือทุกคนมีอาหารครบถ้วน และมีแรงขับเคลื่อนพาเรือเดินหน้าต่อไป

...จนกว่าจะถึงจุดหมาย เรือเทียบท่า ส่งมอบสินค้า และร่วมฉลองกับลูกเรือทุกคนที่เหนื่อยยากมาด้วยกัน...จากนั้นก็เริ่มเดินทางครั้งใหม่ต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...