Skip to main content

Posts

Showing posts from May, 2015

Post#2-266: Flat Organization

Post#2-266: หลายวันก่อนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองกับนักบริหารท่านหนึ่งเกี่ยวกับ Flat Organization เป็นความจริงที่หลายต่อหลายองค์กรมี Organization Chart ที่มีหลาย hierarchy เป็นชั้นๆ เหมือนระบบข้าราชการ จนทำให้ขาดความคล่องตัวในการทำงาน ที่ผมพูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าระบบราชการจะไม่ดี หากแต่มันอาจจะไม่เหมาะกับองค์กรเอกชนที่มีความเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างรวดเร็ว ... ในการบริหารองค์กร มักจะพูดกันถึงเรื่อง Job Delegation กันมาก แต่เวลาปฏิบัติจริงกลับมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปคนละนิยามเลย เวลาเรา delegate งานไปให้ลูกน้อง ต้องพิจารณาถึง Job Description ของเค้าไปพร้อมๆ กับ Competency ของเค้าด้วย ไม่ใช่นายสั่งอะไรมา เราก็ส่งไปให้ลูกน้องทำหมดทุกเรื่องทุกอย่าง เพราะถ้าเราเป็นตัวอย่างของนายที่มักง่ายแบบนั้น ก็อย่าหวังว่าลูกน้องจะไม่ทำแบบเดียวกัน และในที่สุด คนที่จะต้องทำงานหนักกว่าทุกคนก็จะกลายเป็นคนที่ตำแหน่งเล็กที่สุดในองค์กร ยิ่งมี hierarchy ในองค์กรเยอะ ก็จะยิ่งเกิดปัญหาการ "โยน" งานเป็นทอดๆ ลงไปเรื่อยๆ และก่อให้เกิดปัญหามากมายในองค์กร เริ่ม...

Post#2-265: ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง

Post#2-265: เมื่อวานนี้มี Buyer จาก Modern Trade รายหนึ่งโทรมา "สับ" ผม เรื่องของเรื่องก็เกิดจากการที่เรายังไม่สามารถปิด Trade Term ในปีนี้ได้ ทั้งๆ ที่เวลาก็ล่วงเลยมาเอาป่านนี้แล้ว จะว่าไปก็เข้าใจได้ ว่า Buyer ทุกคนก็อยากจะสรุปเรื่อง Trade Term ให้เร็ว และแน่นอนว่าฝั่งผู้ขายเองก็อยากจะปิดให้ได้เช่นกัน...แต่มันติดอยู่ที่เงื่อนไขของแต่ละฝ่ายมันช่างต่างกันสุดขั้ว ฝั่ง Buyer ก็อยากจะได้ GP และค่าสนับสนุนต่างๆ ให้มากๆ และแน่นอนว่าฝั่งผู้ขายนั้น ก็ไม่มีใครอยากจะเพิ่มให้ เพราะสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันมันไม่เอื้ออำนวยให้ซะเลย คราวนี้การเจรจาทางการค้าที่ต่างก็ต้องปกป้องผลประโยชน์ของแต่ละองค์กรนั้น ก็มีอันจะต้องยืดเยื้อไปอย่างช่วยไม่ได้...ต่างฝ่ายจึงต้องงัดกลเม็ดเด็ดพรายในการเจรจา ทั้งขอร้อง ทั้งปลอบ และทั้งขู่สารพัด เพื่อให้ฝ่ายตนได้ผลประโยชน์สูงสุด ผมเองก็เห็นว่า มันเป็นวิถีทางที่เป็นปกติ และก็เคยมีประสบการณ์เจรจาลากยาวจนเกือบจะสิ้นปีจึงจะปิดดีลได้มาแล้ว ในความเป็นจริงนั้น ยิ่งยืดเยื้อยิ่งเสียหาย ยิ่งต่อรองก็ยิ่งเจ็บปวด ทำให้จะถอยหลังก็เสียดาย จะเดินหน้าก็ไ...

Post#2-264: เข้าใจอย่างลึกซึ้ง+ปรับตัวอย่างเท่าทัน

Post#2-264: ผมพึ่งจะเสร็จจาก Dinner Meeting กับหุ้นส่วนชาวต่างชาติที่บินมาประชุมกับลูกค้า หลังจากที่พวกเค้าตระเวนพบปะและเจรจากับลูกค้าที่เรานัดประชุมไว้ครบถ้วน จึงเป็นที่มาของการประชุมมื้อค่ำในวันนี้ สำหรับผม มันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องทำให้หุ้นส่วนเข้าใจสภาพตลาดและเข้าใจลูกค้าอย่างชัดเจน หาไม่แล้วผมก็จะไม่สามารถที่จะพูดคุยกับหุ้นส่วนด้วยกรอบความเข้าใจเดียวกันได้ ในการทำงานกับชาวต่างชาติ นอกจากภาษาที่มักจะเป็นอุปสรรคแล้ว ก็มีเรื่องของความแตกต่างด้านวิธีคิด รวมไปถึงวัฒนธรรมและประเพณี รวมอยู่ด้วย ถ้าพวกเค้าไม่เข้าใจเรื่องพื้นฐานนี้ การที่จะไปเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง...เปรียบเสมือนถ้าไม่เข้าใจรากเหง้าแล้วไซร้ ก็ย่อมยากจะเข้าใจดอกผลฉะนั้น ศาสตร์หนึ่งที่นักการตลาดและนักขายพยายามนักพยายามหนาที่จะสรรค์สร้างขึ้น ก็คือศาสตร์แห่ง "พฤติกรรมพยากรณ์" หรือเรียกให้ง่ายก็คือ ทำยังไงเราจึงจะคาดเดาความเคลื่อนไหวของลูกค้าได้ล่วงหน้า หากยกเรื่องกงล้อแห่งประวัติศาสตร์มาอ้างอิงแล้วไซร้ การเข้าใจความเป็นมาในอดีตได้ถูกต้องเพียงใด ก็ย่อมอาจส่งผล...

Post#2-263: long-term relationship vs short-term profit

Post#2-263: ช่วงเช้าวันนี้ผมมีโอกาสไปประชุมกับนักธุรกิจชื่อดังท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อคุณ T นะครับ) เกี่ยวกับ Co-campaign ที่กำลังจะทำร่วมกัน หลังจากพูดคุยทักทายกันแล้ว คุณ T ก็ขอตัวไปอีกห้องประชุมหนึ่ง เพื่อให้ผมใช้เวลาคุยงานกับทีมงานของคุณ T ได้อย่างเต็มที่ ระหว่างคุยงานกัน มีหลายประเด็นที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ลงตัวได้ ก็มีการหารือกันไปๆ มาๆ อยู่พักหนึ่ง และแล้วคุณ T ก็กลับเข้ามาฟังต่อ หลังจากคุณ T ฟังปัญหาอยู่ไม่ถึง 5 นาที ทุกอย่างก็ลงตัวหมด...ลูกน้องของคุณ T หน้าเจื่อนและงงด้วยความไม่เข้าใจว่า ทำไมคุณ T ถึงยอมง่ายๆ คุณ T อ่านใจลูกน้องออก เลยอมยิ้มแล้วเฉลยว่า "แปลกใจใช่มั๊ยว่าทำไมผมยอมง่ายๆ และดูเหมือนผมเสียเปรียบ...ถ้าคุณมองสั้นๆ ก็ใช่ แต่ผมมองไปถึงชัยชนะระยะยาว และให้ราคากับ long-term relationship มากกว่า short-term profit" ... ไม่บ่อยครั้งที่ผมจะเจอนักธุรกิจอย่างคุณ T ที่สะท้อนแนวคิด Give ก่อน Take ได้อย่างชัดเจน ยอมเสียเปรียบกับปัจจุบันที่จับต้องได้...เพียงเพื่อแลกกับอนาคตที่ยังจับต้องไม่ได้ ถ้าเปรียบเป็นภาษาง่ายๆ กลยุทธ์ของคุณ T ก็คือกา...

Post#2-262: มโนไปเอง

Post#2-262: เมื่อปีก่อนนู้น (Post#215) ผมเคยคุยให้ฟังถึงเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักจะ "คิดมาก" กับ "คิดไปเอง" และไม่น่าเชื่อว่าวันนี้เรื่องนี้จะกลับมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง ที่ว่าตามมาหลอกหลอนนั้น เป็นเพราะอดีตลูกน้องของผมคนหนึ่งกำลังโดนอาการนี้คุกคามอย่างหนัก และสุดท้ายก็มากระทบผมเข้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อครั้งที่ผมยังมีเวลาดูละคร ที่ไม่นางเอกก็พระเอก มักจะถูกนางร้ายหรือนางอิจฉาเป่าหู แล้วก็เอาไปมโนต่อเอง ทำให้เข้าใจผิดไปใหญ่โต...ดูแล้วผมก็ได้แต่ส่ายหัวและขำแบบเซ็งๆ ว่านี่มันเซ่อกันได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือ มาวันนี้ ผมขำไม่ออกเอาจริงๆ เพราะผมเจอละครซ้อนชีวิตจริงอยู่ชัดๆ ได้แต่ปลงอนิจจังในใจ ว่าเป็นไปได้หนอคนเรา ... จริงๆ แล้วทั้งการคิดมากและคิดไปเองนี่ ถือเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่แบบ Nuclear Fusion ที่หากเกิดขึ้นแล้ว หยุดได้ยากเหลือเกิน ดังนั้น เมื่อคิดมากไปเรื่อยเปื่อย ก็มักจะคิดต่อเติมไปเองอีกหลายเรื่อง ลงท้ายก็เลยกลายเป็นการสะกดจิตตัวเองไปว่าสิ่งที่มโนไปเองนั้น เป็นเรื่องจริง และที่แย่ก็คือตัวเองก็ดันปักใจเชื่อจนไม่เหลือสติพิจารณาว่า ความจริงหรือเหตุผลขอ...

Post#2-261: ผู้บริหารแบบที่เป็นผู้นำ

Post#2-261: ปัญหาที่คนเป็นนายทุกคนไม่มีทางหนีพ้น ก็คือเรื่องลูกน้องทะเลาะกัน หรือไม่ก็เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างหน่วยงาน ถ้าจะให้นั่งนึกจริงๆ แล้วล่ะก็ วันที่ไม่ได้ยินเรื่องระหองระแหงกันนี้ ก็เห็นจะเป็นเพียงวันที่ไม่ได้เข้า office เท่านั้นเอง แต่ก็อาจจะมีบ้างจากการเพ็ดทูลผ่านช่องทางอื่นๆ ที่ผมพล่ามมาซะยืดยาว ไม่ได้เป็นเพราะผมเบื่อหรือไม่พอใจนะครับ เพียงแต่จะมาแชร์ว่า ปัญหาแบบนี้กลายเป็นเรื่องที่บั่นทอนกำลังใจและเวลาในแต่ละวันไปไม่น้อยเลย ถามว่า บั่นทอนกำลังใจยังไง? ผมก็ตอบแบบตรงๆ แบบกำปั้นทุบดินเลยว่า ไม่มีนายคนไหนหรอกครับ ที่อยากเห็นหรือชอบให้ลูกน้องทะเลาะกัน เมื่อมีเรื่องไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น ก็ไม่พ้นที่นายๆ ทั้งหลายจะต้องเป็นผู้ว่าความ ซึ่งใครถูกใครผิดนั้นเป็นอีกเรื่อง ว่ากันไปตามข้อเท็จจริงและหลักฐาน...แต่ที่แน่ๆ จะมีก็แต่ฝ่ายพ่ายแพ้ ไม่มีฝ่ายที่ชนะ เสมือนสงครามที่ต้องจบลงด้วยความสูญเสียจากทั้งสองฝ่าย ต่างกันแค่จะมากหรือน้อยเท่านั้น นี่ยังไม่นับเวลาที่ต้องเสียไปจากการต้องมานั่ง clear ปัญหากัน แทนที่จะเอาเวลาไปคุยเรื่องการสร้างอนาคตให้กับองค์กร ... การท...

Post#2-260: กับดักของความคาดหวัง

Post#2-260: ผมใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงเมื่อหัวค่ำนี้ คุยเรื่อง Corporate Roadmap ให้เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งฟัง (สมมติว่าชื่อ C นะครับ) ที่จริงแล้ว แก่นของการกำหนด Corporate Roadmap ก็มิได้มี เนื้อหาต่างจากที่เรารู้ๆ กันมากนักล่ะครับ ตำราใครก็ตำรามันเท่านั้น แต่ตอนหนึ่งของการสนทนา ผมจำต้องสร้างให้น้อง C มั่นใจในตัวเองให้มากขึ้นอีกนิด เพราะรู้สึกว่าเธอกดดันตัวเองเกินความจำเป็น ความกดดันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำธุรกิจครับ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหรือมือปืน ก็ล้วนต้องมีความกดดันในระดับหนึ่งทั้งสิ้น หย่อนเกินไปก็ทำให้ขาด challenge แต่ถ้ามากเกินไปก็จะเป็นผลเสียที่ส่งผลร้ายต่อองค์กร ที่แน่ๆ "ความกดดัน" นั้นมีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกจาก "ความคาดหวัง" ยิ่งหวังมากก็ยิ่งกดดันมาก และยิ่งกดดันมากก็ยิ่งสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก...ซึ่งน้อง C ก็เป็นอีกคนที่โดนพิษของ "ความคาดหวัง" เล่นงาน โดยเฉพาะเมื่อต้องมาทำงานอยู่กับครอบครัว หรือ Family Business ด้วยแล้ว ความกดดันจึงมีมากเป็นเท่าทวี ซึ่งเป็นผลพวงมาจากความคาดหวังต่างๆ ที่เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงทั้งหลายแบกรับไวั ...

Post#2-259: คนเมืองผู้แสนเก่งกาจและมีความสุข

Post#2-259: เคยสงสัยมั๊ยครับ ว่าผู้คนที่ไม่ได้อาศัยในสังคมเมืองเค้าใช้ชีวิตวันหยุดกันแบบไหน? ตั้งแต่จำความได้ (นานมากแล้ว^^) ผมก็เป็น "คนเมือง" ที่มีความรู้เกี่ยวกับวิชาธรรมชาติไม่ใช่แค่เป็นศูนย์ แต่อยู่ในระดับติดลบ วันหยุดคนเมืองจะทำอะไรนอกจากเดินห้างฯ ทาน fast food และ shopping ส่วนคนนอกเมืองที่เรามักจะคิดว่าเค้าเป็นพวกชนบทน่ะ นอกเวลางานแล้ว ชีวิตทุกๆ วันของพวกเค้าก็เหมือนวันหยุด ในขณะที่เด็กเมืองทั่วไปต้องอุดอู้ในห้องแคบๆ และมีแต่ TV เป็นเพื่อน ต่างจากเด็กอีกกลุ่ม ที่ มีท้องทุ่งเป็นห้องรับแขก และมีเพื่อนๆ อีกกลุ่มใหญ่ ไปไหนไปกัน เด็กๆ ที่ไม่ได้อาศัยในเมืองจึงมีสภาพร่างกายแข็งแรง แถมด้วยมีวิชาธรรมชาติศึกษาที่แข็งแกร่ง ต่างจากเด็กเมืองที่มีแค่นิ้วเท่านั้นล่ะครับที่แข็งแรง (แต่ขาน่าจะลีบ) ถ้าคนเมืองไม่มีเงินเค้าจะอดตายแน่นอน แต่ถ้าคนนอกเมืองไม่มีเงิน พวกเค้าย้งมีวิชาชีวิตสำหรับปลูกผัก, จับปลา หรือหาผลผลิตจากธรรมชาติ ไว้ยังชีพได้อย่างไม่อนาทร ... วัตถุต่างๆ ที่คนเมืองดิ้นรนไขว่คว้ามาครอบครองถึงขนาดยอมเป็นหนี้เป็นสินน่ะ มีสักกี่ชิ้นที่จำเป็นต่อการดำ...

Post#2-258: "คุ้นเคย" แต่อย่า "เคยชิน"

Post#2-258: เช้าวันนี้ผมเชิญเพื่อนมาช่วยทำงาน (เข้าใจความหมายของคำว่า "เชิญ" ตรงกันนะครับ อิอิ) เพื่อนผมเป็นเทพจุติแห่ง Excel แต่พอมาใช้ Macbook เธอก็ออกอาการไปไม่เป็นเอาเลยทีเดียว เรียกว่ากว่าจะตั้งสูตรได้แต่ละช่อง เธอก็จะวีนเล็กๆ กับความไม่คุ้นชินกับตำแหน่งของปุ่มและ function ที่ไม่เหมือน laptop เลยแม้แต่น้อย จนเธอออกปากว่า อยากจะเหวี่ยงเครื่องทิ้งเอาเลยทีเดียว T_T จะว่าไปผมเองก็เป็นแบบนี้เวลาหันไปใช้ laptop อื่น หรือแม้กระทั่งเครื่องคิดเลขอื่น และยิ่งนึกต่อไปก็รวมไปถึงขับรถคนอื่น, ใช้มือถือชาวบ้าน และ ฯลฯ รวมความแล้ว ผมขอเรียกรวมๆ ว่า มันเป็นปรากฏการณ์ของ "พื้นที่คุ้นชิน" หรือ Comfort Zone ที่ผมชวนคุยไว้หลายต่อหลายครั้งนั่นเองครับ ... ผมไม่อาจเถียงความจริงที่ว่า การใช้ของที่เคยๆ มือนั้น มันสะดวกกับเราเอาซะจริงๆ แต่ก็ต้องบอกว่า ที่โลกเราก้าวมาถึงวันนี้ ก็เป็นเพราะมนุษย์นั้นไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนมีนั่นเอง ก่อนมี Macbook ผมก็เห็นว่า laptop ก็ใช้ได้ดี แต่เมื่อหันมาใช้ Macbook ผมก็ไม่เคยกลับไปใช้ laptop อื่นอีก ซึ่งแปลว่า ถ้าผมไม่ยอมทดลองใ...

Post#2-257: ขึ้นที่สูง

Post#2-257: เมื่อคืนที่ผ่านมา ผมเข้านอนด้วยใจที่ขุ่นมัวมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมานาน...ค่าที่ผมต้องเสียเวลา, เสียสุขภาพจิต และเสียสุขภาพในการนั่งถ่างตาประชุมทางโทรศัพท์กับคนที่มีทัศนคติต่างกับผมแบบสุดขั้วชนิดซ้ายจัดกับขวาสุด ผมคงไม่เล่าหรือตัดสินล่ะครับ ว่าใครถูกหรือใครผิด เพราะต่างคนก็ต่างมุม และป่วยการที่จะไปเอาชนะคะคานกับคนที่อยู่คนละด้านของความคิด ... มีผู้คนไม่น้อยที่อยู่อย่างสมถะ แต่ก็มีอีกมากนักที่มีชีวิตอยู่ด้วยความทะเยอทะยาน อยากปีนป่ายให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนบางครั้งก็ไม่ยี่หระหากจะต้องเหยียบหัวคนอื่นขึ้นไปก็ตาม ว่ากันตามจริงแล้ว วิธีที่จะทำให้ตัวเองสูงขึ้นได้นั้นมีหลากหลายเหลือเกิน... ถ้าเป็นสายมาร ก็จะใช้ทั้งวิธีเหยียบหัวคนอื่นขึ้นไป และทั้งวิธีฉุดให้คนอื่นตกลงมา ส่วนสายเทพ ก็จะใช้วิธีปีนป่ายไปตามเกาะแก่งแง่งหิน ตามจังหวะที่ถูก ตามครรลองที่ควร หรือไม่ก็อาศัยผู้ที่อยู่สูงกว่าดึงมือฉุดแขนให้ลอยขึ้นไป ทุกวิธีล้วนแต่ได้ผลลัพธ์เดียวกัน คือทำให้เราสูงขึ้น...หากแต่เมื่อมองย้อนกลับไปที่วิธีการ เราจึงจะเห็นรอยทางที่เลือกใช้ ทรราชย์กับมหาราชต่างกันฉันใด ส...

Post#2-256: "อยากรู้" ถูกเรื่องมั๊ยนะ?

Post#2-256: บ่อยครั้งเกินกว่าจะนับไหว ที่ผมพบว่า น้องๆ หลายคนแยกไม่ออกเอาซะเลยจริงๆ ว่า "อยากรู้" กับ "ต้องรู้" นั้น ไม่เหมือนกัน (ในที่นี้ผมว่ากันถึงเรื่องงานนะครับ) เรื่องบางเรื่องที่เราในฐานะคนรับผิดชอบ "ต้องรู้" แต่เรากลับไม่รู้ แล้วพอนายถามว่าทำไมไม่รู้ เราก็มักจะตอบว่า "ไม่มีใครบอก" และนั่นก็แสดงให้เห็นถึงสำนึกที่เรามีต่อหน้าที่การงานที่หาเลี้ยงชีพของเรา เพราะการตอบว่า "ไม่มีใครบอก" ก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่า เราขาดความขวนขวายที่จะเรียนรู้และเข้าใจในงาน แต่น่าแปลกนะครับ ถ้าถามเรื่องดาราว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร หรือถามว่ากระทู้ไหนเด็ดในพันทิพย์ หรือถามว่า วันนี้เจี๊ยบเลียบด่วนคุยเรื่องไหน...ไอ้คนที่ถามเรื่องงานแล้วตอบไม่ได้เมื่อกี้นี้ จะกลับกลายเป็นรู้ทุกเรื่อง ปราดเปรื่องทุกอย่างขึ้นมาทันที ไอ้เรื่องที่ "ไม่ต้องรู้" ก็ได้ กลับกลายเป็น ช่างดั้นด้นขวนขวาย "อยากจะรู้" ขึ้นมาซะอย่างนั้นเอง ... ดังนั้น ที่ผมเล่ามาข้างต้น ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนล่ะครับ ว่าถ้ามันเป็นเรื่องที่ ...

Post#2-255: ธุรกิจการศึกษา

Post#2-255: ค่ำนี้ผมมีโอกาสได้ประชุมทางโทรศัพท์กับอาจารย์ท่านหนึ่ง ถึงเรื่องในแวดวงการศึกษา ธุรกิจการศึกษานี้ ถือเป็นเรื่องใหม่มากๆ สำหรับผม แต่เมื่อได้ประชุมวันนี้แล้ว ต้องบอกว่าเป็นธุรกิจที่น่าศึกษาค้นคว้าและน่าลงทุน ที่ว่าน่าศึกษาค้นคว้าก็เป็นเพราะ การจะสร้าง Product Differentiation ระหว่างโรงเรียน A กับ B ให้เห็นเด่นชัดนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้ศาสตร์และศิลป์เป็นอย่างสูง ทั้งศาสตร์ในการสร้าง Curriculum ให้ได้รับการยอมรับทั้งจากกระทรวงและผู้ปกครอง และทั้งศิลป์ในการสร้างให้โรงเรียนมีสภาพแวดล้อมที่ดีและเป็นที่น่าเชื่อถือ...เรียกว่าทั้งบุ๋นทั้งบู๊ต้องครบเครื่อง ว่างั้น ส่วนที่ว่าน่าลงทุนนั้น ไม่ใช่เพราะว่ากำไรที่เป็นเม็ดเงินนั้นดี แต่ที่น่าลงทุนเพราะแม้จะมีกำไรเม็ดเงินไม่มากเลย แต่ได้กำไร "บุญ" มหาศาล ค่าที่ได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการบ่มเพาะเด็กๆ ให้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณค่า เรียกว่าโดยรวมแล้ว น้อยธุรกิจนัก ที่จะเอื้อให้เราได้กำไรพร้อมกับได้บุญแบบนี้ครับ ... ใครที่ลงทุนในธุรกิจการศึกษานี้ นับได้ว่าถึงพร้อมในการบำเพ็ญบารมีหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน ด้วยเหตุ...

Post#2-254: "ใช้สื่อ" หรือ "ให้สื่อใช้"

Post#2-254: บ่ายวันนี้ผมไปร่วมในงานแถลงข่าวของชมรมหนึ่งที่ผมมีอันจะต้องไปเกี่ยวข้องจากงานที่รับผิดชอบอยู่ โดยธรรมชาติของผมแล้ว ผมไม่ค่อยสะดวกใจที่จะต้องไปปรากฎตัวในงานแบบนี้เลยจริงๆ ค่าที่ผมไม่ค่อยชอบอยู่ท่ามกลางแสงแฟลชและไมโครโฟน และแน่นอนว่า ถ้าให้สัมภาษณ์ได้ดีก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าผิดพลาดขณะสัมภาษณ์ ก็จะกลายเป็นประเด็นไปอีกพักใหญ่ๆ ใครที่ไม่คุ้นเคยกับการให้สัมภาษณ์อาจจะไม่ทันไหวตัว ว่าคำถามบางคำถามนั้น ยิงมาเพื่อเป็นการ "ยืมดาบฆ่าคน" ไม่ก็เป็นการ "ตีวัวกระทบคราด" โดยแท้ เมื่อมีแสงแฟลชและไมโครโฟนมาจ่อตรงหน้า หลายคนตกประหม่าถึงขั้นสติกระเจิดกระเจิง ทำให้บางครั้งตอบอะไรไปเหมือนโดนสะกดจิต ที่ควรพูดไม่พูด ส่วนไอ้ที่ไม่ควรพูดก็ดันพูดไปเรื่อย ... ถ้าสังเกตให้ดีแล้ว ในเวทีระดับชาติจึงไม่ค่อยมีใครตอบอะไรแบบฟันธง มักจะออกแนวเทาๆ หรือกลางๆ คือไม่ขาวมากและไม่ดำสนิท ไม่ซ้ายจัดและไม่ขวาสุด ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะคนที่กำลังให้ข่าวค่อนข้างระวังตัวมาก เหตุเพราะไม่มั่นใจว่าคำพูดที่สื่อออกไปนั้น จะโดนนำไปตีความในแบบใด ที่ผมแชร์มานี้ ไม่ได้กำลังจะบอกให้เราเป...