Skip to main content

Post#2-239: ไม่ fit กับองค์กร

Post#2-239:
เช้าวันนี้ผมมีภารกิจในการเรียกผู้บริหารท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ A นะครับ) มาหารือกันเกี่ยวกับ Performance บางเรื่องที่ยังไม่มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

หลักใหญ่ใจความก็คือ คุณ A ยังอยู่ในช่วงทดลองงาน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่ง fine tune ให้คุณ A แสดงศักยภาพที่ควรจะเป็นออกมาให้ได้

แต่ต้องบอกว่า ผมเจอ surprise นิดหน่อย ตรงที่คุณ A บอกผมว่า วันนี้ตั้งใจจะมาลาออกอยู่ก่อนแล้ว เพราะคุณ A รู้สึกว่าตัวเองไม่ fit กับองค์กร หากเลือกอยู่ต่อนอกจากจะเป็นการกินเงินเดือนไปเปล่าๆ แล้ว ยังเป็นการดูถูกตัวเองอีกด้วย

ผมได้แต่ฟังและต้องยอมรับการตัดสินใจ เพราะมืออาชีพระดับผู้บริหารหากตัดสินใจแล้ว ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลง นอกจากนั้น ยังเป็นการแสดงถึงการเคารพในการตัดสินใจของคุณ A อีกด้วย

ว่ากันตามจริง คนที่มีวิญญาณแห่งมืออาชีพอย่างคุณ A นั้น หาได้ไม่ง่ายในยุคปัจจุบัน และผมเองโดยส่วนตัวเคารพในคุณลักษณะแบบนี้เป็นอย่างมาก

คุณ A ไม่ได้กังวลเรื่องการหางานให้ได้ก่อนแล้วค่อยลาออก หากแต่แสดงความเป็นมืออาชีพทันทีที่รู้สึกว่า ตัวเองไม่เหมาะกับวัฒนธรรมขององค์กร และเลือกเป็นฝ่ายไปแทนที่จะทนอยู่อย่างอดสูในตัวเอง

สำหรับมืออาชีพแล้ว การสูญเสียงานนั้นเป็นปัญหาแค่ชั่วคราว แต่การสูญเสียจุดยืนและอุดมการณ์ต่างหาก คือปัญหาตลอดชีวิต

เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นแก่เรื่องค่าตอบแทนมากกว่าเรื่อง pathway ของการทำงาน ก็แปลว่าเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ความเป็น Dead Wood ขององค์กร และกำลังสร้างความยึดติดกับ Comfort Zone อันยากจะไถ่ถอน

ผมเชื่อว่า ณ องค์กรใดองค์กรหนึ่งบนโลกนี้ ต้องมีสักหนึ่งแห่ง ที่เราสามารถ fit เป็นส่วนหนึ่งกับองค์กรนั้นได้แน่ๆ ครับ

เราไม่จำเป็นต้องดิ้นรนแสวงหาองค์กรนั้น หากแต่ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองอย่างที่สุดว่า เราเหมาะกับองค์กรที่ทำงานอยู่หรือไม่ เรากำลังทนอยู่มากกว่าอยากอยู่หรือไม่

ถ้าใช่...ผมแนะนำให้หางานใหม่ อย่าทนอยู่อย่างหวาดกลัวการตกงาน อย่าดูถูกตัวเองว่าเราคงไม่มีทางไป

ถ้าเกลียดงานแต่ต้องทนอยู่เพื่อเงิน เราจะเป็นพวก "อยู่ไปวันๆ" แต่ถ้าเราเลือกที่จะอยู่เพราะรักในงาน แม้เงินจะน้อย รับรองว่าวันหนึ่งความรักและความชำนาญจะส่งผลลัพธ์ที่คุ้มค่าแน่นอนครับ

ด้วยจิตคารวะต่อผู้มีวิญญาณแห่งมืออาชีพทุกท่านครับ...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...