Skip to main content

Post#2-254: "ใช้สื่อ" หรือ "ให้สื่อใช้"

Post#2-254:
บ่ายวันนี้ผมไปร่วมในงานแถลงข่าวของชมรมหนึ่งที่ผมมีอันจะต้องไปเกี่ยวข้องจากงานที่รับผิดชอบอยู่

โดยธรรมชาติของผมแล้ว ผมไม่ค่อยสะดวกใจที่จะต้องไปปรากฎตัวในงานแบบนี้เลยจริงๆ ค่าที่ผมไม่ค่อยชอบอยู่ท่ามกลางแสงแฟลชและไมโครโฟน และแน่นอนว่า ถ้าให้สัมภาษณ์ได้ดีก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าผิดพลาดขณะสัมภาษณ์ ก็จะกลายเป็นประเด็นไปอีกพักใหญ่ๆ

ใครที่ไม่คุ้นเคยกับการให้สัมภาษณ์อาจจะไม่ทันไหวตัว ว่าคำถามบางคำถามนั้น ยิงมาเพื่อเป็นการ "ยืมดาบฆ่าคน" ไม่ก็เป็นการ "ตีวัวกระทบคราด" โดยแท้

เมื่อมีแสงแฟลชและไมโครโฟนมาจ่อตรงหน้า หลายคนตกประหม่าถึงขั้นสติกระเจิดกระเจิง ทำให้บางครั้งตอบอะไรไปเหมือนโดนสะกดจิต ที่ควรพูดไม่พูด ส่วนไอ้ที่ไม่ควรพูดก็ดันพูดไปเรื่อย

...

ถ้าสังเกตให้ดีแล้ว ในเวทีระดับชาติจึงไม่ค่อยมีใครตอบอะไรแบบฟันธง มักจะออกแนวเทาๆ หรือกลางๆ คือไม่ขาวมากและไม่ดำสนิท ไม่ซ้ายจัดและไม่ขวาสุด

ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะคนที่กำลังให้ข่าวค่อนข้างระวังตัวมาก เหตุเพราะไม่มั่นใจว่าคำพูดที่สื่อออกไปนั้น จะโดนนำไปตีความในแบบใด

ที่ผมแชร์มานี้ ไม่ได้กำลังจะบอกให้เราเป็นคนขี้ขลาดขณะให้สัมภาษณ์ และก็มิได้หมายความว่าผู้มาสัมภาษณ์จะเป็นผู้มีเจตนาแฝงไปซะทั้งหมด...

หากแต่ผมแค่อยากเตือนว่า ผู้ให้สัมภาษณ์ต้องมีสติ เลือกตอบเฉพาะคำถามที่อยู่ในกรอบอำนาจและประเด็นที่ตนเกี่ยวข้อง และผู้ให้สัมภาษณ์ก็ควรมีจรรยาบรรณที่ดี ไม่ใช่ต้องการแต่ประเด็นร้อนๆ ไปเขียนโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมา

สุดท้ายก็คือคนวงนอกอย่างเราๆ ท่านๆ ที่จะต้องใช้วิจารณญาณในการบริโภคสื่อ ก่อนที่จะปักใจเชื่อข้างใดข้างหนึ่ง ก็ควรจะหาข้อมูลให้มากกว่าด้านเดียว หาไม่แล้วก็จะตกเป็นเครื่องมือของข้างใดข้างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

แล้วก็อย่าไป "โชว์โง่" โดยไม่จำเป็นล่ะครับ ประเภทอ่านแต่หัวข้อแล้วมา comment น่ะ ผมเห็นเมาหมัดมาเยอะแล้ว (หรือจริงๆ พวกนี้อาจจะเป็นพวก masochist นิดๆ เลยชอบเป็น "comment พลีชีพ" ให้คนเค้ามาด่าเล่นๆ)

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเดินทางไวมากๆ ผ่าน Social Network ที่หลากหลายแบบนี้ ก็อยู่ที่เราแล้วล่ะครับ ว่าจะเลือกเป็น "ผู้ใช้สื่อ" หรือ "ผู้ถูกสื่อใช้"

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...